วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความหมายของ Mobile Commerce

Mobile Commerce คือ จากสถาบันวิจัย Durlacher ได้นิยามไว้ว่า “ M Commerce หมายถึง การทำธุรกรรมใดๆ ด้วยมูลค่าเงินตราที่ถูกชักนำโดยผ่านเครือข่ายการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคมด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่” วิธีการบางอย่างที่เป็นคุณลักษณะของการพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ คือ ชุดอุปกรณ์การเชื่อมต่อ และ การให้บริการ ที่สามารถเข้าถึงได้จากการใช้อุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งเท่านั้น
การพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ (M - Commerce) เป็นการเปิดรับข้อมูลที่เกี่ยวกับการ การให้บริการ ที่จะชักนำให้เข้าถึงอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการใช้งานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต เป็นเทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ การให้บริการรูปแบบใหม่ และ เป็นรูปแบบใหม่ทางธุรกิจ ซึ่งต่างจากการทำ e-commerce สมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ PDA มีข้อจำกัดในการใช้งานแตกต่างไปจากการใช้คอมพิวเตอร์บุคคล (Personal computer) อุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถพลิกโฉมหน้าไปเป็นอุปกรณ์ที่มีความทันสมัยในอนาคต มันจะตามเราไปในทุกที่ที่เราพามันไป มันสะดวกในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในขณะที่เราเดินบนถนนกับเพื่อน ๆ หรือ ขณะขับรถเพื่อหาร้านอาหารที่ใกล้ที่สุด หรือ ปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด เหมือนการค้นหาทางอินเทอร์เน็ตด้วยการใช้อุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเรา เราใช้อุปกรณ์เหล่านี้เพื่อให้มันกลายเป็นสิ่งที่ต้องติดตามตัวเราไป ในวันนี้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และ PDA สามารถจดจำเบอร์โทรศัพท์ได้มากมาย ในอนาคตอันใกล้นี้อุปกรณ์เหล่านี้จะกลายเป็นผู้ช่วยที่เฉลียวฉลาดที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ เช่น การจัดเรียงลำดับการให้บริการรถแท็กซี่ให้มารับหลังจากเสร็จการประชุม หรือ ช่วยในการรวบรวมข่าวที่เกี่ยวข้อง และ ข้อความที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น กุญแจที่สำคัญอยู่ที่ความสามารถในการใช้ระบบรักษาความปลอดภัย (Security) และ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญควบคู่กันไปกับการใช้งานความสะดวกเหล่านี้

ความรวดเร็วบางอย่างของการพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ทำให้เราตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทั้ง4 ประการ คือ
1. การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่
2. การบรรจบกันของเครือข่ายการติดต่อสื่อสารด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ อินเทอร์เน็ต
3. ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเทคโนโลยีรุ่นที่สาม และ ข้อมูลที่มีความเร็วสูง
4. จุดกำเนิดของระบบที่กว้างใหญ่ที่เฉพาะเจาะจง , ที่ตั้งที่เหมาะสม และ ข้อมูลสำหรับการใช้อุปกรณ์ รวมถึงการบริการต่าง ๆ

ซึ่งในปี 2002 คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการประมาณ 30 ล้านคน และ อีก 126 ล้านคนทั่วโลก การให้บริการจะคิดค่าธรรมเนียม 3 $ ต่อเดือน สำหรับการใช้บริการด้วย Broad range internet รวมไปถึงการให้บริการ e - mail , บริการจองตั๋วชมภาพยนตร์ , การทำธุรกรรมกับธนาคาร , การช้อปปิ้ง , การบริการข้อมูลด้านความบันเทิง เช่น รายงานสภาพอากาศ , ผลการแข่งกีฬา , เกมส์ ฯลฯ และ การให้บริการที่เป็นหมวดหมู่ ซึ่งเกือบทั้งหมดจะถูกจัดหาไว้ให้โดยผู้ให้บริการจากภายนอก

จุดเริ่มต้นเกี่ยวกับ Mobile Commerce ในประเทศญี่ปุ่น

ในต้นปี 1999 บริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่น ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ คือ i-Mode mobile internet portal ซึ่งเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ให้บริการเชื่อมต่อกับระบบ อินเทอร์เน็ตได้สะดวก รวดเร็ว ทันใจ ทันสมัย ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ปัจจุบัน โดย บริษัท NTT DoCoMo เว็บท่าของ i-Mode
ภาพจากเวปไซด์: http://www.brandchannel.com
( i-mode เป็นการให้บริการทางอินเทอร์เน็ตออกวางตลาดในปี 1999)
ภาพจากเวปไซด์: http://www.brandchannel.com

ความสำเร็จอย่างรวดเร็วของ i-mode มาจากปัจจัยที่หลากหลาย บางคนบอกว่าเป็นการบริการที่ง่ายต่อการใช้งาน ซึ่งเป็นผลสะท้อนมาจากผู้ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์บุคคลน้อยลง และ ถูกใช้อย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น จนคนญี่ปุ่นพุดกันว่า i-mode เป็นวิถีทางที่คุ้มค่าในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และ อีเมล์ อย่างไรก็ตามขณะที่อีเมล์ของ i-mode ได้รับความนิยมในขณะนี้ แต่ก็มีความสำเร็จส่วนอื่น ๆ ของบริษัทอีกมากมาย บริษัท DoCoMo ได้พัฒนา PDC-P ด้วยเทคโนโลยี packet-switched ที่สามารถให้ผู้ใช้เปิดใช้งานได้ตลอดเวลาในทุกฟังก์ชั่น ทำให้ง่ายสำหรับผู้ใช้ในการเชื่อมต่อ และ ชำระเงินตามที่ได้ใช้งานจริง สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง
โปรแกรมต่าง ๆ ของ i-mode จะใช้ภาษา HTML ที่เป็น Compact HTML (cHTML) และ บริษัทกำลังพัฒนาไปจนถึงระดับ XHTML ซึ่งทำให้ผู้บริโภคใกล้ชิดกับภาษาที่ใช้สื่อสารด้วยกันทางอินเทอร์เน็ตมากกว่ารูปแบบของ WAP ซึ่งใช้ภาษา WML ในการสื่อสาร cHTML ง่ายต่อการใช้งานสำหรับ i-mode ในการให้บริการ บริษัทได้เพิ่มขยายคุณสมบัติของภาษาที่ใช้ให้ครอบคลุมเพื่อความสะดวกสบายมากขึ้น เช่น การติดต่อแบบอัตโนมัติที่ยอมให้ผู้ใช้ที่โทรศัพท์ออกครั้งแรกก็สามารถคลิกปุ่มการเชื่อมโยงได้เลย ตัวอย่างเช่น เมื่อเข้าไปในเว็บไซต์ร้านอาหาร ผู้ใช้สามารถคลิกเพื่อเรียกดูชื่อร้านอาหาร และ ตารางการจองโต๊ะ โดยที่ไม่ต้องหยุดการติดต่อกับ i-mode
ธุรกิจบริการรูปแบบใหม่นี้เจริญเติบโตและสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังผู้ใช้บริการประมาณ 30 ล้านคน ในกระบวนการขณะเริ่มต้นต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนหลายพันล้านดอลล่าร์ และ สามารถทำรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้นเป็นอีกเท่าตัวจากรูปแบบของการเก็บค่าธรรมเนียม (Fees) และ เกิดการกระตุ้นให้มีการใช้เครือข่ายที่มากขึ้น (Increase traffic)
ทุกวันนี้ i-mode ขยายการบริการไปมากกว่า 1000 สำนักงานสำหรับผู้ให้บริการหลัก และ มากกว่า 10000 รายสำหรับผู้ให้บริการรายย่อย ซึ่งเรียกว่า “เว็บไซต์อาสาสมัคร” เว็บไซต์หลักเป็นการเข้าถึงโดยตรงผ่านเมนู i-mode ในขณะที่เว็บไซต์รายย่อยจะต้องผ่านทาง URL ก่อน อุปกรณ์เสริมสำหรับเว็บไซต์หลักจะถูกตรวจสอบคุณภาพจากบริษัททุกขั้นตอน รวมถึงการใช้ และ ความสามารถในการเข้าถึง เว็บไซต์หลักมีแนวโน้มว่าจะเกิดความคับคั่งมากกว่าเว็บไซต์รายย่อย บริษัทอาศัยฐานข้อมูลประวัติลูกค้าเพื่อให้เหมาะกับความต้องการ และ ความสนใจของผู้ใช้แต่ละคน
กุญแจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของความสำเร็จของบริษัท คือ ความสามารถในการเปลี่ยนความนิยมของการบริการไปสู่ผลกำไรทางธุรกิจ ในทางตรงกันข้ามกับอินเทอร์เน็ตที่ใช้สายโทรศัพท์ที่กำลังเสื่อมความนิยมลงมาก บริษัทเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลกำไรอย่างมาก เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำกำไรให้กับการพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ เริ่มแรกมีการเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนสำหรับการใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 3 $ ต่อเดือน บริษัทเสนอให้เว็บไซต์หลักเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนจากผู้สมัครใช้ผ่านทางรอบระยะเวลาชำระเงินของบริษัท และ สร้างความเชื่อมั่นว่าผู้ใช้มีอำนาจเพียงคนเดียวในการเข้าไปใช้บริการนี้ ซึ่งสิ่งนี้ถูกตรวจสอบโดยบริษัทและส่งกลับข้อมูลไปให้ผู้ใช้ ในทางกลับกันบริษัทจะแบ่งเก็บจากเปอร์เซ็นต์ของค่าธรรมเนียมแบ่งให้บริการลูกข่ายประมาณ 9 % การจัดแบ่งนี้ทำให้ง่ายต่อผู้ให้บริการข้อมูลต่าง ๆ ในการเก็บค่าบริการโดยไม่ต้องกังวลกับระบบการชำระเงินที่สลับซับซ้อน ภายใน 1 ปีที่เริ่มให้บริการระบบ i-mode บริษัทมีรายรับเฉลี่ยเมื่อคิดต่อผู้ใช้หนึ่งคน (ARPU) ประมาณ 120 $ โดยสิ้นปี 2000 จะเพิ่มเป็น 2100 เยนต่อเดือน หรือ ประมาณ 200 $ ต่อปี

การพัฒนาที่เพิ่มขึ้น Mobile Commerce

จนในปัจจุบันบริษัท NTT DoCoMo ปรับแต่ง PDC/PDC-P ให้เป็นเครือข่าย WCDMA ให้มีความทันสมัยเทียบเท่ามาตรฐาน 3G ในยุโรป ในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และ อเมริกา มีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยี CDMA มากกว่าเพราะใช้งานได้ง่าย และ ราคาถูกในการโอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูงในอัตราที่เทียบเท่า 3G
WCDMA วายแบนด์ซีดีเอ็มเอ - Wideband Code-Division Multiple Access เป็นเทคโนโลยีซีดีเอ็มเอที่มีมาตรฐานตามข้อกำหนดของไอทียู และเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อว่า IMT-2000 WCDMA เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารระบบไร้สายในยุคที่ 3 และมีประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแบบไร้สายผ่านโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไร้สายความเร็วสูง โดยมีประสิทธิภาพการทำงานเหนือกว่าเทคโนโลยีทั่วไปที่ใช้ในตลาดในปัจจุบัน
วายแบนด์ซีดีเอ็มเอมีประสิทธิภาพในการสื่อสารรับส่งสัญญาณเสียงภาพข้อมูลและภาพวิดีโอด้วย ความเร็วสูงถึง 2 เมกกะบิตต่อวินาที แต่สำหรับการให้บริการในปัจจุบันความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 384 กิโลบิตต่อวินาที (แนวกว้าง wide area access) โดยสัญญาณขาเข้าจะถูกแปรเป็นสัญญาณดิจิตอลและส่งไปเป็นรหัสผ่านแถบคลื่นสัญญาณกระจายไปสู่คลื่นความถี่ต่างๆ ผู้ให้บริการเทคโนโลยีนี้จะใช้แถบคลื่นสัญญาณที่ 5 MHz ซึ่งต่างจากผู้ให้บริการที่ให้บริการเทคโนโลยีซีดีเอ็มเอในย่านความถี่แคบที่ใช้ช่องสัญญาณที่ 1.25 MHz โดยNTT DoLoMo WCDMA ให้บริการในเชิงพาณิชย์ ในปี 2001 จนในปัจจุบันมีผู้ให้บริการถึง 65 รายทั่วโลก และพัฒนาการก้าวต่อไปของเทคโนโลยี WCDMA จะนำไปสู่ความสามารถในการส่งข้อมูลที่ความเร็วสูงขึ้น ซึ่งเรียกว่า HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 1.8 - 14.4 Mbps

แนวโน้มและวิถีการใช้ Mobile Commerce ในประเทศญี่ปุ่น

โดยในปัจจุบันนี้มีผู้ใช้บริการ ด้าน MOBILE COMMERCE ในญี่ปุ่นสูงขึ้นมาก สามารถ ดูได้ตามภาพดังต่อไปนี้Mobile phones are used in Japan to purchase many different types of products from music, to train tickets, air tickets, event tickets, books, and even cars.
ภาพและข้อมูลจาก website http://eurotechnology.com

ซึ่งสามารถอธิบายตามภาพได้ว่ามียอดการใช้ Mobile Commerce ในญี่ปุ่น เพิ่มมากขึ้นสูงตลอดตั้งแต่ปี 2002-2009 ซึ่งเป็นมูลค่านับ พันล้าน บาททีเดียว
โดยส่วนใหญ่ ชาวญี่ปุ่นมักใช้ เทคโนโลยี Mobile Commerce อาทิเช่น การซื้อสินค้า หลากหลาย ทั้งเพลง ตั๋วรถไฟ ตั๋วเครื่องบิน หรือตั๋วอื่นๆ รวมถึง
และจากข้อมูลทางเวปไซด์
http://www.nextgreatthing.com/ ยังได้กล่าวถึง Mobile Commerce ในญี่ปุ่นไว้ดังต่อไปนี้


Mobile Shopping in Japan
November 12th, 2007 by NGT
Japanese mobile commerce began in 1999, when NTT DoCoMo, a top Japanese mobile carrier, introduced the concept. Since then, the market has grown rapidly year-to-year. The Ministry of Internal Affairs and Communications says that mobile commerce will account for 400 billion YEN ($3.42 billion) in revenue in 2007. A major group fueling the mobile shopping phenomenon is Japanese women, many of whom are increasingly using their handsets to browse and buy products from popular retailers like Chanel and Coach while on the go. Users log-on to DoCoMo’s main portal site, i-mode, where they can utilize categorized menus and search functions to help them find their favorite brands. Customers are then given the opportunity to purchase items on their mobile device.
The i-mode’s TV function, One-Seg, has impressive image quality
One of the biggest features of the i-mode site is its payment system. NTT DoCoMo collects user payments for vendors, reassuring customers that their transactions are safe. The money is automatically paid as an information fee on the invoice, so if users find something wrong with their order, they can get their money back.
Many Japanese women are hooked on mobile shopping because prices are much lower than they’ll typically find at stores or even online. My new Louis Vuitton wallet runs for 65,000YEN ($567) at the store, but I bought it on my mobile for 38,700YEN ($338)! What a good deal! According to MMD Research, 23% of products bought via cell phone shops are for gifts. Don’t have time to do your holiday shopping? You could wait until the ride home -Daisuke Kitamoto, NGT correspondent from FH Tokyo ภาพและข้อมูลจาก website http://www.nextgreatthing.com/

จากภาพและบทความดังกล่าวได้กล่าวถึง วิถีการใช้ Mobile Commerce ของคนญี่ปุ่น ซึ่ง ในกลุ่มผู้หญิงนิยมใช้บริการกันมาก ในด้านการช๊อปปิ้ง ซื้อสินค้าแบรนเนม เช่น Chanel และ Coach โดยผู้ใช้งานจะล๊อกเข้าระบบที่ DoCoMo’s main portal site, i-modeและเลือกไปที่เมนูที่ช่วยค้นหา ยี่ห้อที่ตนต้องการ ซึ่งสิ่งนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าทางโทรศัพท์ให้ง่ายยิ่งขึ้น และผู้หญิงชาวญี่ปุ่น มักนิยมชอปปิ้งทางโทรศัพท์มือถือ เพราะ ราคามักจะถูกว่าไปซื้อตามร้านอีกด้วย เนื่องจากร้านค้าจะให้ส่วนลดพิเศษกับผู้ใช้ช่องทางการจำหน่าย Mobile Commerce นี้ โดยมีบทสัมภาษณ์จากผู้หญิงชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งไว้ “My new Louis Vuitton wallet runs for 65,000YEN ($567) at the store, but I bought it on my mobile for 38,700YEN ($338)! What a good deal!” (กระเป๋าสตางค์หลุยส์วิตตอง ราคาปกติในร้าน 65,000เยน แต่ซื้อทางโทรศัพท์ เหลือเพียว 38,700 เยนเท่านั้น)

แต่อย่างไรก็ตามผู้ชายญี่ปุ่นก็นิยมการซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Coomerce นี้เช่นกัน ดังจะมีภาพประกอบเพื่อให้เห็นการใช้ MOBILE COMMERCE ในญี่ปุ่นกันอย่างกว้างขวางดังต่อไปนี้
The average amount of money spent by survey respondents shopping from their mobile handsets was 14,676yen or around $123 with males spending on average 19,594 yen and women only 10,197 yen.

ข้อมูลจาก www.analytica1st.com

จะเห็นได้ว่าค่าเฉลี่ยในการจ่ายเงินช๊อปปิ้งจากโทรศัทพ์มือถือ(Mobile Commerce)ของชาวญี่ปุ่นนั้นผู้ชายญี่ปุ่น ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 19,594 เยน ต่อเดือน และ ผู้หญิงญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 10,197 เยน ต่อเดือน ซึ่งสถิตินี้แสดงให้เห็นว่าการซื้อสินค้าของผู้ชายญี่ปุ่นสูงกว่าผู้หญิงอีกด้วย
และอีกทั้งยังมีข้อมูลแสดงให้เห็นสินค้าที่นิยมซื้อผ่านช่องทาง Mobile commerce ในประเทศญี่ปุ่นดังต่อไปนี้
Books and magazines (28.4%) were the favorites among the items bought during one month by survey respondents, followed with CD/DVD (17.5%) and sweets and candies (17.5%).Source: Rakuten Research
โดยจะเห็นได้ว่า หนังสือ และ นิตยสาร ได้รับความนิยม ในการสั่งซื้อภายในเดือน สูงที่สุด ตามมาคือ ซีดี/ดีวีดี และ ขนมหวาน
จากข้อมูลข้างต้นได้แสดงถึง ฝ่ายผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นนั้นนิยมและพอใจกับช่องทางการซื้อแบบ Mobile Commerce แต่ต่อไปจะกล่างถึงฝ่ายที่เป็นผู้ใช้บริการจำหน่ายผ่านช่องทาง Mobile Commerce
สิ่งจูงใจของการจำหน่ายช่องทาง Mobile Commerce คือ นักลงทุนสามารถเข้าถึงได้เร็ว ดูรายละเอียดการวิจัยได้ทั่วถึง เช่น ซื้อหุ้นได้โดยใช้เวลาไม่กี่วินาที และเสียค่าใช้จ่ายน้อยมากเมื่อเทียบกับค่านายหน้าแบบเต็มๆ ลูกค้าของธนาคารออนไลน์สามารถดูยอดเงินในบัญชีต่างๆได้ โอนเงินระห่างบัญชีได้ ชำระค่าบริการต่างๆได้ผ่านธนาคารออนไลน์ โดยใช้มือถือหรืออุปกรณ์ไร้สายอื่นๆ ธนาคารมีความกระตือรือร้นที่จะได้ลูกค้าที่จ่ายบิลออนไลน์เพราะแสดงว่าลูกค้าจะอยู่กับธนาคารนานขึ้น มีเงินสดในบัญชีมากขึ้นและใช้สินค้าของธนาคารมากขึ้น เพื่อเพิ่มการใช้บริการนี้ ธนาคารก็จะไม่คิดค่าธรรมเนียมในการจ่ายเงินออนไลน์ และยังมีข้อดีอีกคือช่องทางการจัดจำหน่ายแบบ Mobile Commerce นี้ ใช้วิธีแบบ Anywhere, Anytime Application
โดยปกติอุปกรณ์ Mobile commerce มักถูกใช้โดยผู้ใช้คนเดียว จึงมีแนวคิดที่ว่าบริษัทสามารถที่จะส่งข้อมูลไปหาผู้บริโภคแต่ละคน และการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก ทุกที่ทุกเวลา เช่น
- ลูกค้าธนาคารใช้อุปกรณ์ไร้สายเพื่อเข้าถึงข้อมูลในบัญชีและชำระค่าใช้จ่ายได้
- ผู้ถือหุ้นสามารถดูราคาหุ้นและซื้อขายได้
- บริการข้อมูลสารสนเทศ เช่น ข่าวการเงิน ข่าวกีฬา สภาพการจราจร ส่งถึงประชาชนได้เมื่อต้องการ
- ลูกค้าสั่งสินค้าและจ่ายเงินได้ - ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ดูค่าโทร จ่ายค่าโทร และจัดการบริการต่างๆได้
- ผู้ขายส่งข้อความโฆษณา โปรโมชั่น คูปองส่วนลดให้ลูกค้าที่เดินผ่านร้านได้
- เข้าถึงได้ง่าย บริษัทสามารถหาซื้อได้ในราคาไม่แพง สร้างโอกาสในการขายได้ทั่วโลก
- ลดต้นทุน ลดเวลา ลดแรงงาน ในการทำ process และมีความถูกต้อง
- การไหลอย่างรวดเร็วของสินค้าและข้อมูล เพราะใช้การเชื่อมต่อของอุปกรณ์และการสื่อสาร
- เพิ่มความถูกต้อง ผู้ซื้อสั่งสินค้าด้วยตนเอง จึงไม่มีการผิดพลาดของพนักงานป้อนข้อมูล
- เพิ่มบริการลูกค้า เพิ่มรายละเอียดข้อมูลสินค้า วันส่งสินค้า และสถานะต่างๆ
สิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จที่สุดของ Mobile commerce คือสิ่งที่เหมาะกับความเคยชินของผู้คน ดังนั้นธุรกิจที่จะใช้ Mobile commerce ต้องดูด้วยว่าเหมาะและจัดเตรียมบริการได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่







ภาพตัวอย่างการซื้อหนังสือจาก Amazon ผ่านช่องทาง Mobile commerce
กรณีศึกษาตัวอย่างของธุรกิจที่นำ Mobile Commerce มาใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบันของประเทศญี่ปุ่น
จากข้อมูลเวปไซด์ http://www.takeme2japan.com/ ได้กล่าวไว้ว่า มีผู้จำหน่ายอีกธุรกิจหนึ่งซึ่งน่าสนใจและน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง คือธุรกิจ แฟชั่น ซึ่งขณะนี้ เป็นที่ครองใจวัยรุ่นญี่ปุ่นได้อีกกลุ่มหนึ่งด้วย ชื่อ Tokyo Girls Spring Collection 2009 เนื่องจากธุรกิจแฟชั่นนี้ ได้รวมธุรกิจเสื้อผ้าไว้หลายยี่ห้อ และเปิดช่องทางการจำหน่ายทางโทรศัทพ์มือถือ หรือ Mobile Commerce และยังมี การโชว์แฟชั่นโดยนางแบบชั้นนำ โดยแฟชั่นโชว์นี้ให้ลูกค้าเปิดดูทางโทรศัทพ์มือถือได้อีกด้วย ลูกค้าสามารถดู และ กดเลือกซื้อชุดที่นางแบบใส่เดินโชว์ได้ง่าย ๆ



But we also have to see how this information can be applied into a real environment. I going use the Tokyo Girls Spring Collection 2009, thank you very much for CScout for the excellent report of the event in English.
ภาพและข้อมูลจาก http://www.takeme2japan.com/
Tokyo Girls is an annual event is a semiannual fashion show. The fashion event showcases the seasons fashionable streetwear, and are modeled by popular various Japanese models. Unlike the regular fashion shows, the event is open to the general consuming public as well as to buyers and journalists, and incorporates charity auctions and live performances by well-known artists. The event is planned and sponsored by Branding Inc, a company which runs girlswalker.com and fashionwalker.com, and the outfits adorned by the models are made available for purchase on the spot through the official website of TOKYO GIRLS COLLECTION.

ภาพและข้อมูลจาก http://www.tokyo/collection2009.com
เมื่อเข้าสู่เวปนี้ จะ มียี่ห้อที่ผู้ซื้อต้องการให้เลือกดู
หน้าจอการเข้าดูตารางแฟชั่นโชว์ประจำวัน


ภาพและข้อมูลจาก http://www.tokyo/collection2009.com
The detail that makes this fashion show unique is the fact that people can buy the clothes that are shown in the runaway in the event through online mobile shopping service. What does this means? well they found a sustainable way to combine E-commerce strategies with normal fashion shows. Imagine if people started doing this in NY Fashion Week.
บทความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ช่องทางการจัดจำหน่าย นี้น่าสนใจและน่าติดตามเป็นอย่างมาก และ หากได้ขยับขยายไปถึงแฟชั่นระดับโลกแล้ว วงการแฟชั่นจะเติบโตขึ้นอีกมหาศาล
By Ken Y-N ( April 4, 2007 at 22:40)
ภาพและข้อมูลจาก http://www.tokyo/collection2009.com
ประกอบกับข้อมูลทางเวปไซด์ www.whatjapanthinks.com ได้ให้ข้อมูลไว้ดังนี้“Clothes shopping by mobile internet surprisingly popular

ข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการใช้ Mobile Commerce ในประเทศญี่ปุ่น
จากการสำรวจของเวปไซด์ www.whatjapanthinks.com ซึ่งเป็นเวปไซด์เกี่ยวกับการสำรวจข้อมูล พฤติกรรมการซื้อเสื้อผ้าผ่านช่องทาง Mobile Commerce ของผู้หญิงชาวญี่ปุ่น แบ่งตามช่วงอายุดังนี้คือ
- อายุไม่เกิน 19 ปี มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 3.10%
- อายุช่วง 20-29ปี มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 33.0%
- อายุช่วง 30-39 ปี มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 43.1%
- อายุช่วง 40-49 ปร มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 17.7%
- อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 3.20%

Over one week at the start of March, infoPLANT conducted a survey by means of a public questionnaire available throughNTT DoCoMo’s iMode menuing system on the subject of online shopping habits. Note that since this is a self-selecting survey, attracting perhaps heavy mobile phone users, there might be some bias towards higher levels of shopping than in the average phone-owning population.
ภาพและข้อมูลจาก www.whatjapanthinks.com




จากภาพกราฟวงกลมข้างต้น แสดงให้เห็นการซื้อผ่านช่องทาง Mobile Commerce ของชาวญี่ปุ่น เป็นดังนี้คือ
15% เข้าใช้บริการทุกวัน
6% เข้าใช้บริการ 5-6 วันใน 1 สัปดาห์
15% เข้าใช้บริการ 2-3 วันใน 1 สัปดาห์
13% เข้าใช้บริการ 1 วันใน 1 สัปดาห์
21% เข้าใช้บริการ 1-3 วันใน 1 เดือน
13% น้อยกว่า 1 ครั้ง ใน 1 เดือน
17% ไม่เคยใช้ช๊อปปิ้งผ่านทางMobile Commerce
ข้อมูลจากการสำรวจโดยตั้งคำถามว่า คุณช๊อปปิ้งออนไลน์บนโทรศัพท์มือถือบ่อยเพียงใด จะได้ข้อมูลการข้อเสียของ Mobile Commerce
อย่างไรก็ตามช่องทางการซื้อสินค้าแบบ Mobile Commerce ก็มีข้อเสียแบ่งออกเป็น 2 ด้าน ดังต่อไปนี้
1. ด้านเทคนิค
- การประยุกต์ใช้ Mobile Commerce ร่วมกับแอปพลิเคชันและฐานข้อมูล มีความซับซ้อน จำเป็นต้องใช้ทักษะหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการสร้างและพัฒนา
- ต้นทุนในการสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ Mobile Commerce ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นซอฟแวร์ร์ ฮาร์ดแวร์ การเชื่อมโยง เครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่บุคลากรที่เข้ามารับผิดชอบ
2. ด้านอื่นๆ
- ผู้ขายและผู้ซื้อยังมีความกังวลด้านความปลอดภัยของ Mobile Commerce ลูกค้ายังไม่สามารถเชื่อมั่นเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า เนื่องจากไม่สามารถมองเห็นและจับต้องสินค้าได้
- Mobile Commerce อาจทำให้ลูกค้ากังวลใจเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวอาจจะถูกเปิดเผยได้
- Mobile Commerce อาจทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันลดน้อยลง

ในอนาคตคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า ญี่ปุ่นที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศแห่งผู้นำทางเทคโนโลยีจะสร้างนวัตกรรม ความทันสมัย หรือ เป็น โลกออนไลน์ให้กว้างไกลกว่าเดิมไปในทิศทางใด

เอกสารอ้างอิง
ภาพและข้อมูลจาก
website http://eurotechnology.com/
website http://www.nextgreatthing.com/
Rakuten Research จาก http://www.analytica1st.com/
http://www.takeme2japan.com/
http://www.tokyocollection2009.com/
www.whatjapanthinks.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น