วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

การใช้ WIMAX ในปัจจุบันในประเทศแถบเอเชีย
















ในปัจจุบัน การให้บริการ Broadband เช่น DSL เป็นการให้บริการแบบใช้สายเพื่อเชื่อมต่อโดยตรง ซึ่งเป็นการไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้งานเป็นอย่างยิ่ง และการให้บริการ Broadband Wireless ก็เป็นการให้บริการแก่ผู้ใช้งานที่ต้องการความสะดวกสบายเป็นหลัก รวมถึงเป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องเคลื่อนที่ไปยังจุดต่างๆ ซึ่งด้วยความต้องการแบบนี้เอง WiMAX Technology จึงจัดเป็นส่วนที่สำคัญที่สามารถจะตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานได้ Technology WiMAX นั้นสามารถจะรองรับการเชื่อมต่อจากผู้ใช้งานได้ทั้งแบบที่เป็นการเชื่อมต่อ Wireless จากจุดใดจุดหนึ่ง (Fixed Broadband Wireless) หรือการเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลา (Mobile Broadband Wireless)
WiMax (Worldwide Interoperability for Microwave Access)มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า IEEE802.16x เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาจาก Wi-Fi ที่ตอบสนองความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูงได้ในพื้นที่รัศมีมากกว่า 8 กิโลเมตร (5 ไมล์) ต่อการติดตั้งจุดเชื่อมต่อ (Hot Spot ) หนึ่งจุด โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำมาใช้ในบริเวณที่สายโทรศัพท์ลากไปไม่ถึงหรือพื้นที่ Last Mile และการเปิด ให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงให้กับองค์กรขนาดใหญ่เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการลากสาย WiMAX ย่อมาจาก Worldwide Interoperability for Microwave Access
WiMAX Technology จึง เป็นมาตรฐานของการให้บริการระบบเครือข่ายไร้สายสำหรับโครงข่ายแบบ Broadband โดยเป็นการให้บริการไปจนถึงตัวของผู้ใช้งาน (Last Mlie) โดยตรงโดยที่มีระยะของการให้บริการสูงสุดถึง 48 กิโลเมตร และสามารถทำการส่งและรับข้อมูลได้สูง
WiMAX เป็น Technology ที่รองรับการทำงานกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile) ได้ด้วยอัตราการส่งข้อมูลที่สูง ให้เป็นข้อได้เปรียบมากกว่าการให้บริการ Broadband แบบเดิมอย่าง DSL เป็นต้น
สำหรับมาตรฐานของเทคโนโลยี WiMAX ที่มีการพัฒนาขึ้นมาในขณะนี้นั้น มีดังต่อไปนี้IEEE 802.16 เป็นมาตรฐานที่ให้ระยะทางการเชื่อมโยง 1.6-4.8 กิโลเมตร เป็นมาตรฐานเดียวที่สนับสนุน LoS (Line of Sight) โดยมีการใช้งานในช่วงความถี่ที่สูงมากคือ 10-16 กิกะเฮิรตซ์ (GHz)
IEEE 802.16a เป็นมาตรฐานที่แก้ไขปรับปรุงจาก IEEE 802.16 เดิม โดยใช้งานที่ความถี่ 2-11 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งคุณสมบัติเด่นที่ได้รับการแก้ไขจากมาตรฐาน 802.16 เดิมคือคุณสมบัติการรองรับการทำงานแบบที่ไม่อยู่ในระดับสายตา (NLoS - Non-Line-of-Sight) ทั้งยังมีคุณสมบัติการทำงานเมื่อมีสิ่งกีดขวาง อาทิเช่น ต้นไม้, อาคาร ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังช่วยให้สามารถขยายระบบเครือข่ายเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงได้อย่างกว้างขวาง ด้วยรัศมีทำการที่ไกลถึง 30 ไมล์ หรือประมาณ 48 กิโลเมตร และมีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดถึง 75 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) ทำให้สามารถรองรับการเชื่อมต่อการใช้งานระบบเครือข่ายของบริษัทที่ใช้สายประเภท ที 1 (T1-Type) กว่า 60 ราย และการเชื่อมต่อแบบ DSL ตามบ้านเรือนที่พักอาศัยอีกหลายร้อยครัวเรือนได้พร้อมกันโดยไม่เกิดปัญหาในการใช้งาน
IEEE 802.16e เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาให้สนับสนุนการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์พกพาประเภทต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์พีดีเอ โน้ตบุ๊ก เป็นต้น โดยให้รัศมีทำงานที่ 1.6-4.8 กิโลเมตร มีระบบที่ช่วยให้ผู้ใช้งานยังสามารถสื่อสารได้โดยให้คุณภาพในการสื่อสารที่ดีและมีเสถียรภาพขณะใช้งาน แม้ว่ามีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาก็ตาม
สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สายมาตรฐาน WiMAX นั้น มีองค์กรที่ได้รับการจัดตั้งจากบรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เรียกว่า WiMAX Forum ขึ้น เพื่อร่วมกันพัฒนาและกำหนดมาตรฐานกลางของเทคโนโลยีบรอดแบนด์ไร้สายความเร็วสูงมาตรฐาน IEEE 802.16 รวมถึงการทำหน้าที่ทดสอบและออกใบรับรองให้แก่อุปกรณ์ที่ใช้มาตรฐานไร้สายระบบใหม่ ทั้งนี้มีมาตรฐาน IEEE 802.16 จะถูกเรียกกันโดยทั่วไปว่า WiMAX เช่นเดียวกับมาตรฐาน IEEE 802.11 ที่เคยเป็นที่รู้จักในชื่อ Wi-Fi มาแล้ว
เราจะสามารถจำแนกจุดเด่นของ WiMAX Technology ออกมาได้ ดังนี้
Lower Cost – เนื่องจากการให้บริการ WiMAX เป็นการให้บริการแก่ผู้ใช้จำนวนมากเหมือนดังเช่นการให้บริการ DSL ในปัจจุบัน ดังนั้นด้วยกลไกของตลาดจะทำให้ราคาของอุปกรณ์ WiMAX ที่ออกมาจำหน่ายในตลาดมีราคาที่ถูก ในที่นี้รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ให้บริการที่จะมี ราคาที่ถูกลงเนื่องจากการขางขันในตลาดอีกด้วย
Wider Coverage – เนื่องจากความสามารถในการให้บริการของ WiMAX Technology ทำให้ขอบเขตการให้บริการแก่ผู้ใช้งานจึงเป็นไปได้ในวงกว้าง และสามารถลดจำนวนของอุปกรณ์ BS (Based Station) ต่อบริเวณที่ให้บริการๆได้อีกด้วย
Higher Capacity – เพราะ WiMAX Technology ในความกว้างของช่วงคลื่นที่สามารถใช้งานได้มาก จึงทำให้สามารถรองรับจำนวนของผู้ใช้งานได้มากและอัตราการส่งข้อมูลที่สูง
Standard for Fixed Broadband Access and Mobile Broadband Access – นี่เป็นความสามารถที่สำคัญของ WiMAX ในอันที่เป็นมาตรฐานเดียวที่สามารถรองรับการเชื่อมต่อทั้งในแบบที่อยู่กับ ที่และแบบเคลื่อนที่ได้
WiMAX Forum
WiMAX Forum เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาโดยกลุ่มผู้ให้บริการระบบโครงข่าย กลุ่มผู้ผลิตส่วนประกอบของอุปกรณ์เครือข่ายและกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่าย เพื่อทำการตรวจสอบและทำการรับรองการทำงานร่วมกันได้ของอุปกรณ์ที่ผลิตออกมา ตามมาตรฐาน IEEE802.16 ทำให้เป็นการลดข้อจำกัดของการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์จากหลากหลายผู้ผลิตที่ มีอยู่ในตลาด และทาง WiMAX Forum ได้มีการกำหนดให้ทาง Cetecom ที่ประเทศสเปนเป็นสถานที่เพื่อใช้งานการทดสอบอุปกรณ์เพื่อทำการออกหนังสือ รับรอง โดยเริ่มทำการทดสอบมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2005 ที่ผ่านมา และมีการคาดการว่าจะมีการออกหนังสือรับรองได้ในช่วงปลายปี 2006 ใน ส่วนของ WiMAX Forum ไม่ได้เป็นผู้กำหนดในการออกสู่ตลาดของอุปกรณ์เพราะนั่นเป็นส่วนของผู้ผลิต แต่ละรายที่จะเป็นผู้กำหนด แต่ทาง WiMAX Forum นั้นเป็นเพียงผู้ที่ทำการทดสอบและให้การรับรองอุปกรณ์เท่านั้น โดยการทดสอบจะสามารถเริ่มได้ในปี 2006 และคาดว่าในปี 2006 จะสามารถรับรองอุปกรณ์ที่นำมาทดสอบได้ ภาย ในกลุ่มของ WiMAX Forum นั้นมีสมาชิกที่เป็นองค์กรหรือบริษัทมากกว่า 350 บริษัทที่ร่วมอยู่ใน WiMAX Forum นี้ โดยมีกลุ่มบริษัทหลักๆ ที่พอจะรู้จักกันอย่างกว้างขวาง ดังนี้ AT&T, Cisco System, Intel Corporation, Motorola, Samsung, Fujitsu, Alcatel, Ericsson, Huawei, Lucent Technologies, LG Electronics, Mitsubishi Eletric, Nokia, Nortel Network, Proxim Wireless Corporation, Siemens SPA, Agilent เป็นต้น
กลุ่ม WiMAX Forum เองมีสมาชิกที่เป็นกลุ่มของผู้ให้บริการอยู่และในกลุ่มของผู้ให้บริการนั้น ก็ได้มีการทดลองการติดตั้งอุปกรณ์ที่สามารถให้บริการการเชื่อมต่อ WiMAX เสร็จแล้วใน 125 ประเทศ ดังนั้น เมื่อใดที่อุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อกับระบบ WiMAX นั้นมีการออกจำหน่ายในตลาด การให้บริการก็จะสามารถทำได้ในทันที
WiMAX Certified หมายถึง WiMAX Certified เป็นเครื่องหมายที่ใช้รับรองอุปกรณ์ที่ทำงานในระบบ Wireless Broadband ว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหาและไม่มีข้อแตกต่างในด้านของการ เชื่อมต่อจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้ผลิตจากผู้ผลิตรายเดียวกัน เนื่องจาก WiMAX Tecnology เป็นรูปแบบการให้บริการจากผู้ให้บริการถึงผู้ใช้งานดังนั้นการที่อุปกรณ์ที่ ใช้งานในระบบ WiMAX ได้รับการรับรองก็จะทำให้ผู้ใช้งานกับระบบโครงข่าย WiMAX ที่มีอยู่ได้โดยที่จะไม่มีปัญหาเนื่องจาการทำงานของอุปกรณ์ที่มาจากผู้ผลิต คนละคนและสามารถใช้ความสามารถของ WiMAX ได้อย่างเต็มที่ตามที่กลุ่มผู้ผลิตได้มีการออกแบบไว้

ความก้าวหน้า ของ WIMAXในปัจจุบันในประเทศแถบเอชีย อาทิเช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย และ ไทย
WIMAX ในชีวิตประจำวันปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศผู้นำทางด้านเทคโนโลยีกันบ้าง เมื่อวันที่ 22-24 กรกฎาคม มีงาน WiMAX at INTEROP TOKYO 2009 เป็นงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่ จัดแสดงที่ Tokyo International Exhibition Center), East Hall 4&5. และงาน WIRELESS JAPAN 2009 ซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับ เทคโนโลยี เกี่ยวกับด้านการบริการ wireless บรอดแบรนด์ และ เทคโนโลยี่รุ่นใหม่ โดยเฉพาะเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ (mobile broadband technologies such as LTE and UMB.)

ในปัจจุบัน ปี 2009 ที่โตเกียว มีทางเลือก 2 broadband ให้เลือกใช้ แต่ยี่ห้ออื่น ๆ กำลังพัฒนาเติบโตเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน


UQ WiMAX at Tokyo Station
UQ WiMAX เป็นผู้ให้บริการด้าน high speed wireless broadband ในญี่ปุ่นในปัจจุบันการบริการยังจำกัดอยู่เพียงเขตโตเกียว และ เมืองโอซาก้าเท่านั้น แต่ กำลังเพิ่มขยายเขตการบริการไปให้ได้ถึง 90% -ของประเทศญี่ปุ่นภายในปี 2012 นี้


โดยผู้ใช้บริการเสียค่าใช้จ่าย ที่ 4,480 เยน ต่อเดือน โดยผู้ใช้บริการสามารถเชื่อมต่อ WiMAX network โดยการเสียบ USB port ดังภาพ
บริษัท UQ Communications แสดงจุดเด่นของสินค้าคือ high-speed mobile broadband communications service หรือเรียกว่า “UQ WiMAX,” โดยได้เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งซึ่งผู้มาเยี่ยมชมบูธของ UQ ต่างก็สนใจทดลองใช้ high-speed broadband internet โดยลองใช้ UQ WiMAX.
จากภาพ UQ WiMAX กำลังจัดแสดงการเชื่อมต่อ WiMAX USB, WiMAX ที่สามารถ เชื่อมต่อและรองรับ notebook ทั้งของ Intel, Clarion MiND NR1U หรือแม้กระทั่ง WiMAXที่ใช้งานInternet บนโทรศัพท์มือถือ และ Navigation (prototype).
และจากภาพ UQ WiMAX ได้จัดแสดง SWiM-50, WiMAX จากบริษัท Sumitomo Electric Networks.
และ NEC Aterm W3200U USB WiMAX dongle which has driver for Linux OS Mobile
เป็นที่น่าเสียดายที่ UQ WiMAX ไม่ได้จัดแสดง Wimax ที่ใช้บน Sony Vaio Type P WiMAX-enabled netbook จัดแสดงเพียงแต่ Sony Vaio Type Z.
UQ WiMAX ได้อธิบายเป็นรูปแบบวิดิโอแสดงสด ที่ได้ติดตั้งกล้องบนรถและวิ่งรอบเขตอาคิฮาบาระ และ เขตโอไดบะ จาก Google Map

WIMAX ในประเทศอินโดนีเซีย และ มาเลซีย
ในประเทศอินโดนีเซีย และ มาเลเซียได้พัฒนา wireless broadband 2.3 GHz. เป็นที่ชัดเจนว่า ประเทศมาเลเซียได้ก้าวสู่การพัฒนา WiMAX ไปอีกขั้น ซึ่ง Malaysian Communications and Multimedia Commission หรือ (MCMC) เป็นผู้จัดทำ WiMAX network ใน Peninsular Malaysia.
เมื่อไม่นานมานี้ เว็ปไซด์ http://www.malaysianwireless.com/ ได้ให้รายงานไว้ถึงการพัฒนา WiMAX ในประเทศมาเลเซีย โดยอธิบายถึง ผู้จัดหา 4 ราย ที่จัดทำระบบให้

ความเคลื่อนไหว เทคโนโลยี WIMAX ในประเทศไทย
การประกาศออกใบอนุญาตอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง หรือ ไวแมกซ์ (WiMax) จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ซึ่งผ่านการตรวจสอบและทดสอบมายาวนานหลายปี บัดนี้ ประเทศไทยกำลังจะมีบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3G/WiMax ให้ใช้งานเหมือนกับประเทศเพื่อนบ้าน ภาพของสังคมไทยและผู้คนที่ดำเนินชีวิตในยุค 3G/WiMax จะออกมาในรูปแบบใดนั้น ตอนนี้ยังตอบไม่ได้แน่ จนกว่าจะได้เห็นโฉมหน้าของบริการและแอพพลิเคชันต่างๆ จากบรรดาโอเปอร์เรเตอร์ทั้งหลายที่ได้รับใบอนุญาตจาก กทช.
ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียที่นำเอาเทคโนโลยี WiMax ไปใช้งานนั้น หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปในชนบทสามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกับผู้คนในเมืองผ่านระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมทั้งการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตและใช้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้อย่างไม่มีปัญหาติดขัด ด้วยคุณสมบัติของ WiMax ในการรับส่งข้อมูลที่มีอัตราเร็วถึง 75Mbps และครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างไกลเกือบ 50 กิโลเมตร ทำให้สามารถขยายโครงข่าย WiMax ไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง

Sub Notebook/Mobile Phoneซับโน้ตบุ๊กหรือเน็ตบุ๊ก รวมทั้งโทรศัพท์มือถือไฮ-เทค ทั้งหลายในปี 2009 ล้วนแต่เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีไร้สาย รวมถึงบริการและแอพลิเคชันต่างๆ ที่จะทยอยออกมาในปีนี้ เน็ตบุ๊กเป็นเทรนด์ใหม่มา เนื่องจากค่ายโน้ตบุ๊กส่วนใหญ่หันมาเจาะตลาดกลุ่มนี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีผู้ใช้งานหลายระดับ ตั้งแต่เด็กวัยรุ่นไปจนถึงคนทำงานและนักธุรกิจที่ต้องการอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาที่มีความสามารถอยู่ระหว่างพีดีเอกับโน้ตบุ๊ก ซึ่งเน็ตบุ๊กเข้ามาเติมช่องว่างได้ ถึงแม้ว่าโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ๆ จะมีความไฮ-เทค และประสิทธิภาพที่ไล่หลังมาก็ตาม แต่ก็ยังตอบตอบสนองการใช้งานได้ไม่ครอบคลุม โดยในปีนี้ เน็ตบุ๊กจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการท่องเน็ตและดิจิตอลเล่นคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านหน้าเว็บเป็นหลัก
ส่วนโทรศัพท์มือถือนั้น หน้าจอแบบสัมผัสคงเป็นทางเลือกใหม่ในมือถือ เนื่องจากให้ประสบการณ์ในการใช้งานได้หลากหลายกว่าการกดปุ่มแบบเดิมๆ นอกจากนี้แอพพลิเคชันใช้งานต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อระบบสัมผัสก็ดึงดูดผู้ใช้ได้มาก หลังจากนี้ จะเป็นยุคที่ WiMax กลายเป็นตัวหลักของเครือข่ายไร้สายWireless Mobile Printerพรินเตอร์ไร้สายก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ ที่จะได้รับความนิยม ที่มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าเน็ตบุ๊กหรืออาจจะใหญ่กว่าโทรศัพท์มือถือไม่มากนัก โดยสามารถพกได้ เพราะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซลาเซลล์
Wireless Mobile Printer ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลี ได้รับความนิยมจากวัยรุ่น เนื่องจากมีคุณสมบัติที่เพียงพอกับความต้องการในการพิมพ์ภาพต่างๆ เช่น การสั่งพิมพ์ภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ หรือผ่านสายดาต้าลิงก์ และสายยูเอชบี ก็สามารถทำได้ ด้วยขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่าโทรศัพท์มือถือไม่มากนัก จึงเหมาะสำหรับการพิมพ์ภาพถ่ายเล็กๆ ส่วนพรินเตอร์ไร้สายที่เป็นรุ่นใหญ่ขึ้นอีกนิด ก็สามารถรองรับการพิมพ์ผ่านระบบไร้สายต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม ทั้ง Infrared, Bluetooth และ Wi-Fi

เด็กนักเรียนในพื้นที่รัศมีรอบม.แม่ฟ้าหลวง 21 โรงเรียน เป็นกลุ่มแรกที่ได้ใช้งานไวแมกซ์ กทช. จัดงบลงทุนให้ 70 ล้านบาท ทำโครงการต้นแบบศูนย์ทางไกลเพื่อการศึกษาและพัฒนาชนบท ให้ใช้ระบบสื่อสารยุคใหม่ประยุกต์เพื่อสื่อสารการออนไลน์ พร้อมลดปัญหาช่องว่างและยกระดับชีวิตการใช้งานอินเทอร์เน็ตชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ( สกทช.) โดยการมอบหมายจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง(มฟล.) ได้ตกลงร่วมกันจัดทำโครงการต้นแบบศูนย์ทางไกลเพื่อการศึกษาและพัฒนาชนบท เพื่อเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนม์มายุ 80 พรรษา ซึ่งโครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมและขยายโอกาสในการพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ของ ครู นักเรียน และประชาชนในพื้นที่ชนบท รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสถาบันการศึกษา หน่วยงานปกครองท้องถิ่น และหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม พลเอกชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) กล่าวว่า โครงการนี้มีระยะเวลา 3 ปี ลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งทาง สกทช. เป็นผู้ดูแลงบประมาณเงินลงทุน ที่มาจากงบจัดสรรประจำปีงบประมาณ โดยยังไม่ใช้งบจากเงินกองทุนบริการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะในท้องถิ่นห่างไกล(USO) และมอบหมายให้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นผู้รับดำเนินโครงการ ซึ่ง สำนักงาน กทช. จะเป็นผู้คำปรึกษา โดยทุกๆ 3 เดือนจะมีรายงานต่อ กทช. ให้ทราบ โดย กทช. ได้มอบหมายให้ สำนักงาน กทช. จัดทำการประเมินผลการดำเนินโครงการในแต่ละส่วน ทั้งด้านทางเทคนิค อุปสรรคปัญหา เพื่อประเมินในเรื่องของผลสำเร็จว่าได้ผลเพียงใด สำหรับโครงการต้นแบบศูนย์ทางไกลเพื่อการศึกษาและพัฒนาชนบท มีสำนักงาน กทช.และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นหน่วยงานหลักดำเนินโครงการ พร้อมร่วมด้วยกระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนในพื้นที่ต้นแบบ และเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดเชียงราย “จะเป็นโครงการต้นแบบของการนำระบบสื่อสารโทรคมนาคม ทั้งไวแมกซ์ ไว-ไฟ บรอดแบนด์ มาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์การศึกษาและสร้างประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่ชนบท ก่อนที่จะขยายรูปแบบไปยังพื้นที่ส่วนจังหวัดอื่น” โครงการความร่วมมือจะเริ่มดำเนินการ โครงการตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ ในการติดตั้งอุปกรณ์ เครือข่าย และจะเริ่มดำเนินโครงการอย่างเต็มรูปแบบเดือนกุมภาพันธ์ปี 2551 ส่วนรูปแบบโครงการของศูนย์ทางไกลนั้น เริ่มจากคัดเลือกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาใน จ.เชียงราย เป็นโรงเรียนต้นแบบในโครงการ 21 แห่ง เพื่อปรับปรุง หรือ ติดตั้งระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 1-2 Mbit/sec โดยใช้ข่ายสื่อสารเอดีเอสแอล,ไวแมกซ์ หรือข่ายสื่อสารดาวเทียมไอพีสตาร์ ตามความเหมาะสม โดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจะเป็นศูนย์กลางรวบรวมและพัฒนาแหล่งข้อมูล สื่อการสอนต่างๆ ผ่านระบบเครือข่ายที่สร้างขึ้น ภายใต้การดูแลของ สกทช. และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในส่วนของการพัฒนาหลักสูตรและการพัฒนาวิชาการต่างๆ ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี และข้อมูลเกี่ยวกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน




ข้อมูลอ้างอิงจาก
shibuya246.com/2009/08/14/wimax/
http://www.wimaxian.com
http://asia.wimax-vision.com/
www.siamwimax.com



วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ E-Business

E-Business

ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีความสับสนระหว่าง คำว่า E-Business กับ E-Commerce คำว่า E-Business สำหรับ E-Business ( เขียนอีกแบบก็คือ eBusiness ) นั้นย่อมาจากคำว่า Electronic Business หรือ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง กระบวนการหรือขั้นตอนใด ๆ ในการดำเนินธุรกิจ (transaction) ที่อาศัยระบบคอมพิวเตอร์สารสนเทศในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางธุรกิจ
E-Business นั้นมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะสร้างคุณค่าเพิ่ม (Added Value) ตลอดกระบวนการหรือกิจกรรมทางธุรกิจ (Value Chain) และลดขั้นตอนของการที่ต้องอาศัยแรงงานคน (Manual Process) มาใช้แรงงานจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computerized Process) และช่วยให้การดำเนินงานภายใน ภายนอก และระหว่าง องค์กรด้วยกัน เช่น Supplier เป็นต้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าและคู่ค้ามากขึ้นด้วย จะเห็นว่า E-Business ไม่ใช่แค่เพียงการซื้อมา-ขายไปโดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำธุรกิจอีกด้วย
ฉะนั้น E-Commerce จึงเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของ E-Business ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของอีกตัวอย่างหนึ่งของการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ก็คือ เครื่องฝากเงินอัตโนมัติของธนาคาร (Cash Deposit Machine) ทุกวันนี้ เครื่องโอนเงินชนิดนี้ช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องคอยต่อแถวฝากเงินเหมือนสมัยก่อนและยังช่วยธนาคารสามารถรับลูกค้ารายอื่น ๆไม่ใช่มาฝากเงินได้มากขึ้น หรือแม้แต่ E-Revenue ของ กรมสรรพากร ที่ช่วยพี่น้องประชาชนไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานของกรมสรรพากรเพื่อยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเหมือนก่อน เพียงเข้าไปที่เว็บไซด์ E-Revenue ของกรมสรรพากร ก็สามารถยื่นแบบฯได้แล้วและยังขอคืนเงินภาษีได้อีกด้วย ก็ถือว่าเป็น การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่นกัน
E-Business จึงไม่ได้จำกัดเพียงเป็นการปรับกระบวนการทางสำหรับองค์กรธุรกิจที่แสวงหากำไรเท่านั้น แต่ยังรวมถึง องค์กรธุรกิจที่ไม่มุ่งผลกำไร ( Non-Profit Organization) อย่างกรมสรรพากรอีกด้วย E-Business สามารถแบ่งตามรูปแบบการดำเนินงานระหว่างองค์กรได้เป็น
องค์กรกับองค์กร หรือ Business to Business(B-to-B) เป็นการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างองค์กรด้วยกัน ไม่ว่าการใช้ อีเมลล์เพื่อสื่อสารระหว่างองค์กร หรือ การใช้ข้อมูลผ่านสื่ออีเล็กทรอนิกส์ร่วมกัน อย่างการเช็คเครดิตของลูกค้าบัตรเครดิตหรือลูกค้าสินเชื่อผ่านองค์กรกลางอย่าง Thai Credit Bureau Company (TCB) โดยธนาคารที่ให้สินเชื่อลูกค้าจะทำการเช็คข้อมูลลูกค้าที่ขอสินเชื่อผ่านระบบข้อมูลออนไลน์ของ TCB เป็นต้น
องค์กรกับลูกค้า หรือ Business to Consumer(B-to-C) เป็นการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่พบเห็นมากที่สุด โดยองค์กรธุรกิจจะทำการธุรกรรมไปยังลูกค้าโดยตรง เช่นการค้าขายผ่านอินเตอร์เน็ตหรือ E-Commerce การรับฝากเงินผ่านเครื่องรับฝากอัตโนมัติ การติดตามการจัดส่ง ไปรษณีย์ EMS หรือ ไปรษณีย์ลงทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ตของไปรษณีย์ไทย (http://track.thailandpost.co.th/default.asp)
ลูกค้ากับลูกค้า หรือ Consumer to Consumer (C-to-C) การดำเนินการธุรกรรมในระดับลูกค้ากับลูกค้าด้วยกันเอง ตัวอย่างที่พบเห็นได้มากที่สุดคือ เว็บไซด์ประมูลสินค้าอย่าง EBay หรือ thai2hand.com ซึ่งเว็บเหล่านี้ จะเป็นสื่อกลางในการให้ลูกค้าที่ต้องการเสนอซื้อสินค้ามือสองจากผู้ที่สนใจเสนอขายสินค้ามือสองของตน เป็นต้น
ถึงตรงนี้ คงเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ E-Marketing, E-Commerce และ E-Business ไม่มากก็น้อยนะครับ สำหรับ thinkandclick.com เองมีเป้าหมายในการที่จะเผยแพร่ส่วนของ E-Marketing ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการทำธุรกิจแบบ E-Commerce และ ดำเนินธุรกิจแบบ E-Business เพราะเราเชื่อว่า การทำธุรกรรมใด ๆ ก็ย่อมต้องอาศัยกลยุทธ์ในการทำการตลาดเพื่อให้การทำธุรกรรมนั้นถูกเป้าหมายอย่างแม่นยำและบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ และเราเลือกการตลาดอิเล็กทรอนิกส์เป็นเนื้อหาหลักในการเผยแพร่ เพื่อให้คนไทยมีความรู้ในด้านนี้มากขึ้นพอที่จะไปสู้ในเวทีโลกได้ครับ
บทความจาก : http://www.thinkandclick.com/

ยกตัวอย่างเวปไซด์ที่ทำ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ eBUSINESS





วิวัฒนาการของธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
แนวคิดหลักของธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ คือกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินธุรกิจโดยใช้ อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ตและเอ็กซ์ทราเน็ตในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง วิวัฒนาการของธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้เคลื่อนตัวผ่านยุคสำคัญไปแล้ว 2 ยุค กล่าวคือในยุคแรก บริษัทต่าง ๆ นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะสแตติก (Static) โดยที่ข้อมูลต่าง ๆ ได้รับการออกแบบและกำหนดให้อยู่ในโครงสร้างนิ่งและไม่เปลี่ยนแปลง เว็บเหล่านี้ถูกจัด เก็บในฟอร์แมตของ HTML เป็นหลัก ข้อมูลที่เก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ได้รับการติดต่อผ่านทางโปรโตคอล HTTP (Hypertext Transfer Protocol) เพื่อนำข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์มาแสดงผลผ่านทางเบราเซอร์ ส่วนเว็บไซด์ในยุคที่ 2 เป็นยุคที่เว็บมี การเชื่อมโยงกับระบบฐานข้อมูล และการประมวลผล ตัวอย่างเช่น มีการนำเสนอข้อมูลแบบแคตตาล็อกออนไลน์ ในช่วง หลายปีที่ผ่านมาเป็นยุคที่สองของธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ บริษัทต่าง ๆ เริ่มมีการสร้างเว็บที่มีโปรแกรมระบบการสั่ง สินค้าและระบบควบคุมสินค้าคงคลัง ที่สามารถเชื่อมต่อทั้งส่วนกิจกรรมหน้าร้าน (Front-ends) กับส่วนที่เป็นกิจกรรม หลังร้าน (Back-ends) ของบริษัท บริษัทอนุญาตให้ลูกค้าสามารถเข้ามายังเว็บไซด์ของบริษัทเพื่อดูหรือตรวจสอบสินค้า ที่สั่งได้โดยตรง ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน และอำนวยความสะดวกต่อลูกค้ามากขึ้น ในยุคที่สองนี้ กล่าวได้ว่า เป็นการทำธุรกิจผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต โดยมุ่งเน้นไปที่ผู้ขายเป็นสำคัญ (Vendor-centric) กล่าวคือ ผู้ขายสามารถดำเนิน กระบวนการภายในของตนเองอย่างอัตโนมัติ และเชื่อมโยงกระบวนการเหล่านี้กับอินเทอร์เน็ตเพื่อให้บริการกับลูกค้าของ บริษัท
หลักการของธุรกิจผ่นสื่ออิเล็กทรอนิกส์แบบไดนามิก
เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่สามของการวิวัฒนาการของธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผู้ขายได้ขยายคุณประโยชน์ของ การดำเนินการแบบอัตโนมัติไปสู่ลูกค้า ผู้ขายไม่เพียงนำเสนอข้อมูลไปยังลูกค้าโดยตรงเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความสะดวก สบายให้กับลูกค้ามากขึ้นด้วยการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของลูกค้าสามารถติดต่อสื่อสาร เรียกใช้งานบริการและโปรแกรม จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ขายโดยตรง เพื่อดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของธุรกิจที่มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น กิจกรรมเหล่านี้ จะดำเนินการภายใต้การควบคุมของกฎเกณฑ์ทางธุรกิจที่ได้กำหนดไว้
ตัวอย่างเช่น เมื่อแอพพลิเคชั่นของลูกค้าได้รับข้อมูลการปรับปรุงราคาสินค้าอัตโนมัติในรูปแบบ (Format) ที่ เหมาะสมจากแอพพลิเคชั่นของผู้ขายเข้าสู่ระบบของลูกค้า ข้อมูลราคาสินค้านี้สามารถส่งต่อไปยังลูกค้าของลูกค้าได้ ขณะเดียวกันแอพพลิเคชั่นของลูกค้าที่มีหน้าที่ประมวลผลข้อมูลราคาสินค้านี้ก็จะดำเนินการกับข้อมูลตามกฎเกณฑ์ทา ธุรกิจที่ได้กำหนดไว้ กฎเกณฑ์ทางธุรกิจที่กล่าวถึงนั้น ได้ก่อให้เกิดชุดของตัวแปรที่มีผลต่อการทำงานของแอพพลิเคชั่น โดยตรง
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นตัวอย่างธุรกิจที่ใช้แอพพลิเคชั่นช่วยในการติดตามและควบคุมสินค้าคงคลัง เมื่อสินค้ามี จำนวนลดลง แอพพลิเคชั่นของระบบติดตามและควบคุมสินค้าคงคลัง จะดำเนินการตรวจสอบราคาสินค้านั้น ๆ จาก ซัพพลายเออร์ต่าง ๆ โดยใช้สัดส่วนหรือตัวแปรต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ราคาและค่าใช้จ่ายต่ำสุด) แต่ใน ขณะเดียวกันแอพพลิเคชั่นของระบบติดตามและควบคุมสินค้าคงคลัง อาจจะทำการแบ่งแยกการสั่งซื้อสินค้าครั้งนี้ออก เป็นสองรายการ หากมีสภาวการณ์บางอย่างเกิดขึ้น โดยที่รายการสั่งซื้อแรกมีราคาสูงกว่า แต่ต้องการให้สามารถจัดส่ง ได้รวดเร็วที่สุด ทำให้สินค้าในรายการสั่งซื้อนี้ราคาสูง เพื่อจะนำมาชดเชยสภาวการณ์ขาดแคลน สำหรับในรายการสั่งซื้อ ต่อไปจะดำเนินการสั่งซื้อตามปกติไปยังซัพพลายเออร์ที่มีราคาถูกที่สุด ตัวอย่างดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าแอพพลิเคชั่น ของระบบติดตามและควบคุมสินค้าคงคลัง จะตัดสินใจดำเนินการใด ๆ ตามกฎเกณฑ์ทางธุรกิจที่ได้กำหนดไว้นั่นเอง
ตัวอย่างทั้งสองข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความต้องการในการเชื่อมโยงสารสนเทศของธุรกิจข้ามองค์กร ในยุคที่ 3 ซึ่งกล่าวได้ว่ามาถึงจุดที่เป็น "ไดนามิก-อีบิสซีเนส" ไดนามิก-อีบิสซิเนสจะมุ่งความสนใจไปยังการยกระดับโครงสร้าง พื้นฐาน และการบูรณาการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ แบบเชื่อมโยงธุรกิจกับธุรกิจ (Business-to-Business (B2B)) โดยการใช้ประโยชน์จากมาตรฐานบนอินเตอร์เน็ต และโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งภายในองค์กรและระหว่างองค์กร ไดนามิก-อีบิสซิเนสเกิดขึ้นโดยมีความมุ่งหวังว่าธุรกิจที่ดำเนินการผ่านทาง อินเทอร์เน็ตจะสามารถทำการติดต่อสื่อสารกันแบบอัตโนมัติ โดยเป็นการติดต่อกันระหว่างโปรแกรมกับโปรแกรม (P2P) หรือระหว่างแอพพลิเคชั่นกับแอพพลิเคชั่น (A2A) ดังแสดงในรูปที่ 1




รูปที่ 1 โครงสร้างพื้นฐานการทำธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในยุคที่ 3
ต่อไปนี้เป็นหลักการพื้นฐานที่จะช่วยให้เราสามารถจัดการความยุ่งยากซับซ้อนของการบูรณาการดำเนินธุรกิจแบบ B2B
1. การรวมหรือการบูรณาการของซอฟต์แวร์ต่างระบบกันนั้น จะต้องอนุญาตให้แต่ละระบบเหล่านี้มีความ เป็นอิสระจากกัน (Loosely Coupled)
2. อินเทอร์เฟสทางด้านการบริการของซอฟท์แวร์ที่จะนำมาทำการบูรณาการ ควรจะเผยแพร่สู่สาธารณชน และเปิด โอกาสของการเข้าถึงได้ง่าย
3. เมสเสจ (Message) ที่ใช้ติดต่อกันของการทำงานแบบโปรแกรมกับโปรแกรม (P2) ต้องสอดคล้องกับมาตรฐาน เปิดบนอินเทอร์เน็ต
4. แอพพลิเคชั่นสามารถสร้างได้จากการใช้ซอฟท์แวร์คอมโพเน้นท์ (Software Component) จากภายนอกองค์กร โดยยึดตามแนวทางการดำเนินธุรกิจหลักขององค์กร
5. แหล่งซอฟต์แวร์คอมโพเน้นท์ (Software Component) ที่หาได้ง่าย ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและเพิ่มคุณสมบัติ ส่วนตัวของกระบวนการทางธุรกิจ
6. การนำซอฟต์แวร์จากภายนอกองค์กรกลับมาใช้ใหม่ ช่วยให้เกิดการลดต้นทุนและ/หรือช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ในการบริหารแก่ลูกค้า
7. ซอฟต์แวร์สามารถขายเป็นบริการได้
การที่ไดนามิกอีบิสซิเนสเป็นจริงได้ ต้องมีสถาปัตยกรรมพื้นฐานและมาตรฐานอินเทอร์เน็ตแบบเปิดเป็นตัวสนับสนุน
สถาปัตยกรรมของธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การพัฒนาระบบธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์อาจจะใช้สถาปัตยกรรมการบริการในลักษณะที่เรียกว่า "Service- Oriented Architecture" (SOA) เป็นแนวคิดเบื้องต้น ระบบและแอพพลิเคชั่นส่วนใหญ่ในโลกของธุรกิจที่ใช้งานใน ปัจจุบันเป็นแอพพลิเคชั่นและระบบย่อยที่ถูกสร้างขึ้นให้มีการทำงานที่ต้องสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น (Tightly Coupled) การเปลี่ยนแปลงการทำงานภายในระบบย่อยหรือแอพพลิเคชันใด ๆ จะมีผลกระทบกับทั้งระบบ ซึ่งส่งผลให้การบำรุงรักษา มีต้นทุนที่สูงขึ้น รวมทั้งยังเป็นข้อจำกัดในการเชื่อมต่อกับระบบของคู่ค้าอื่น ๆ SOA ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่ได้เกิดขึ้นมา นานแล้ว ซึ่งอยู่ใน่วนนหนึ่งของแนวคิดทางการออกแบบระบบแบบกระจายศูนย์ (Distributed computing concepts) SOA เป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จในขณะที่แนวคิดอื่น ๆ นั้นประสบความล้มเหลว การพัฒนา SOA นั้นทำบนมาตรฐานเปิด ซึ่งได้รับการรับรองจากผู้ผลิตซอฟต์แวร์ชั้นนำ เช่น บริษัท ไอบีเอ็มและบริษัท ไมโครซอฟต์ เป็นต้น และบริษัทเหล่านี้ยังได้ร่วมมือกันรับรองมาตรฐานอย่างเช่น UDDI และ WSDL ซึ่งรายละเอียดจะได้กล่าวถึงต่อไป
SOA มีส่วนประกอบหลักสามส่วนคือ ผู้ให้บริการ (Service provider) ผู้ขอบริการ (Service requester) และ ตัวแทนของผู้ให้บริการ (Service broker) ซึ่งส่วนประกอบหลักทั้ง 3 ส่วนนี้ติดต่อถึงกันโดยใช้ฟังก์ชันพื้นฐาน คือ การประกาศ (publish), การค้นหา (find) และการเรียกใช้ (bind) ฟังก์ชันทั้งสามมีการทำงานดังนี้คือ ผู้ให้บริการ (Service provider) ทำการประกาศ (publish) บริการไปยังตัวแทนของผู้ให้บริการ (Service broker) หรือที่อาจเรียกว่า "ไดเรคทอรี่ของบริการ" ในขณะที่ผู้ขอบริการ (Service requester) จะทำการค้นหา (find) บริการที่ต้องการ และเมื่อพบ เห็นก็จะทำการเรียกใช้ (bind) ไปยังผู้ให้บริการนั้น สถาปัตยกรรม SOA แสดงไว้ในรูปที่ 2
รูปที่ 2 The SOA Model
เทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์
แนวคิดของ SOA ที่กล่าวมา ถูกนำมาใช้เป็นหลักการพื้นฐานของไดนามิก-อีบิสซิเนส เพื่อทำความเข้าใจถึง วิธีการพัฒนาว่าต้องทำอย่างไร ปัจจัยพื้นฐานของการพัฒนาไดนามิก-อีบิสซิเนส ขึ้นอยู่กับมาตรฐานเปิดบนอินเทอร์เน็ต กล่าวคือ กลยุทธ์ของไดนามิก-อีบิสซิเนส อาศัยเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดจากการทำงานของนักวิจัยและที่ปรึกษาจากบริษัท ต่าง ๆ
ต่อไปนี้เราจะมาดูถึงเทคโนโลยีสำหรับการพัฒนาไดนามิก-อีบิสซิเนส
· XML (The Extensible Markup Language 1.0) เป็นภาษา Markup ที่เป็น text-based ซึ่งทำให้เป็น มาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบ และกำหนดมาตรฐานของ XML คือ World Wide Web Consortium (W3C) ความแตกต่างระหว่าง XML กับ HTML คือ HTML ถูกนำมาใช้ในการสร้าง เว็บเพจ ที่สามารถแสดงผลได้โดยโปรแกรมเบราวเซอร์ แต่ XML จะใส่ tags ได้อย่างอิสระ แล้วทำการส่ง XML ชุดนี้ไป ประมวลผลยังแอพพลิเคชั่นใด ๆ ที่สามารถใช้ข้อมูลใน XML นี้
· SOAP (Simple Object Access Protocol) เป็น XML-based โปรโตคอล (lightweight protocol) สำหรับ การแลกเปลี่ยนข้อมูลในสภาวพแวดล้อมแบบกระจายศูนย์ (decentralized, distributed environment) SOAP ได้ กำหนดเมเสจจิ้งโปรโตคอล (Messaging Protocol) ระหว่างผู้ขอบริการ (requestor) กับผู้ให้บริการ (provider) เช่น ผู้ขอบริการสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ให้บริการโดยใช้ RMI (Remote Method Invocation) ตามวิธีการของ โปรแกรมแบบออปเจ็ค บริษัทไมโครซอฟท์, ไอบีเอ็ม, โลตัส, ยูสเซอร์แลนด์ (UserLand) และ ดีเวลลอปเปอร์เมนเตอร์ (DeveloperMenter) ได้ร่วมกันกำหนดมาตรฐานของ SOAP ขึ้น ซึ่งต่อมาได้มีบริษัทอีก 30 กว่าบริษัทเข้าร่วมและ จัดตั้งเป็น W3C XML Protocol Workgroup ขึ้น SOAP ได้กำหนดรูปแบบพื้นฐานของการสื่อสารแบบกระจายขึ้นโดย การพัฒนา SOAแม้ว่า SOA จะไม่ได้กำหนดเมจเสจจิ้งโปรโตคอล (Messaging Protocol) ไว้ แต่ SOAP ได้ถูกกำหนด ให้เป็น Services-Oriented Architecture Protocol เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมันได้ถูกใช้ในการพัฒนา SOA อย่างแพร่ หลายแล้วนั่นเอง จุดเด่นของ SOAP ก็คือเป็นโปรโตคอลที่เป็นกลาง กล่าวคือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของและเป็นโปรโตคอล ที่ทำงานกับโปรโตคอลอื่นหลายชนิด ดังรูปที่ 3 การพัฒนาก็อนุญาตให้ทำได้อย่างอิสระตามแพลตฟอร์มระบบปฏิบัติการ แบบจำลองทางวัตถุ (Object model) และภาษาโปรแกรมของผู้ที่ทำการพัฒนา
รูปที่ 3 XML messaging using SOAP
· WSDL (Web Services Description Language) เป็นภาษาที่ใช้อธิบายคุณลักษณะการใช้บริการของ Web Services และวิธีการติดต่อกับ Web Services โดยใช้ภาษา XML, WSDL เกิดจากการรวมแนวคิดของ NASSL (The Network Accessible Service Specification Language), WDS (Well-Defined Services) ของบริษัทไอบีเอ็ม, SDL (The Service Description Language) และ SCL (the SOAP Contract Language) ของบริษัทไมโครซอฟท์ ปัจจุบัน WSDL เป็นภาษา ที่อยู่ในการดูแลของ W3C (World Wide Web Consortium) ซึ่งยังไม่เป็นมาตรฐานที่สมบูรณ์ เวอร์ชันที่ใช้งานอยู่ใน ปัจจุบันคือ WSDL 1.1 (รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ WSDL สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.w3c.org/TR/wsdl)
· UDDI (Universal Description, Discovery, and Integration) เป็นมาตรฐานที่ให้ชุดพื้นฐาน APIs (Application Programming Interface) ของ SOAP ที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาเป็นตัวแทนของผู้ให้บริการ (Service broker) UDDI เป็นมาตรฐานที่จัดตั้งขึ้นโดยบริษัทไอบีเอ็ม บริษัทไมโครซอฟต์ และบริษัทอารีบา (Ariba) ปัจจุบันมีบริษัทที่ร่วม กันกำหนดมาตรฐานของ UDDI มากกว่า 70 บริษัท ซึ่งมาตรฐานของ UDDI ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานสำหรับ B2B interoperability (รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ UDDI สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://uddi.org)
รูปที่ 4 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขอบริการ (Service Requester) กับผู้ให้บริการ (Service Provider) และ UDDI




จุดกำเนิดของ Web Services




เราได้ทราบถึงรายละเอียดของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะใช้ในการพัฒนาสถาปัตยกรรม Service-Oriented ทำให้เกิด แบบจำลองของ Web Services ขึ้น ดังแสดงในรูปที่ 5
รูปที่ 5 Web Service Model
เราได้ทราบเกี่ยวกับ UDDI ว่าเป็นวิธีการมาตรฐานสำหรับจัดเก็บและรวบรวมบริการต่าง ๆ ที่ให้บริการในรูปของ Directory service และทราบเกี่ยวกับ WSDL ว่าเป็นมาตรฐานที่ใช้อธิบายคุณลักษณะของการเรียกใช้บริการของ Web Services และวิธีการติดต่อกับ Web Services แต่ UDDI จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยผู้ให้บริการ (Service provider) จำนวน มาก เสนอบริการทางด้านซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมของตนเอง แล้วเราจะต้องประกาศ (publish) บริการเหล่านี้ไปบน อินเทอร์เน็ต การให้บริการทางด้านซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ของผู้ให้บริการ (Service providers) บนอินเทอร์เน็ตนี้ รู้จักกันใน นามของ "Web Service" กล่าวคือ Web Service คือซอฟต์แวร์คอมโพเน้นท์ (Software Component) ที่สามารถนำ มาสร้างเป็น แอพพลิเคชันสำหรับให้บริการการทำงาน ๆ หนึ่งให้แก่ผู้ร้องขอบนอินเทอร์เน็ต หรือสามารถที่จะนำ Web Service แต่ละตัวมาประกอบกันตามกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อร่วมกันทำงานในลักษณะ Interoperability รวมกันเป็น "Web Services" ที่เกิดจากการทำงานร่วมกันของ SOAP, UDDI และ WSDL ในรูปที่ 6




รูปที่ 6 Web Services with SOAP, UDDI และ WSDL


เอกสารอ้างอิง
1. Web Services Architecture, Part 1 : An introduction to dynamic e-business by Dan Gisolfi Solution Architect, IBM, Start Emerging Technologies, Arpil 2001
2. Web Service architecture overview by IBM Web Services Architecture Team, September 2000
3. Web Services Conceptual Architecture (WSCA 1.0) by Meather Kreger IBM Software Group, May 2001
4. APEC e-Business : What Do User Need? by CSIRO Mathematical and Information Services Version 1.0, The APEC Telecommunication and Information Working Group, June 2001
5. บทความจาก : http://www.thinkandclick.com/

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความหมายของ Mobile Commerce

Mobile Commerce คือ จากสถาบันวิจัย Durlacher ได้นิยามไว้ว่า “ M Commerce หมายถึง การทำธุรกรรมใดๆ ด้วยมูลค่าเงินตราที่ถูกชักนำโดยผ่านเครือข่ายการติดต่อสื่อสารโทรคมนาคมด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่” วิธีการบางอย่างที่เป็นคุณลักษณะของการพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ คือ ชุดอุปกรณ์การเชื่อมต่อ และ การให้บริการ ที่สามารถเข้าถึงได้จากการใช้อุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งเท่านั้น
การพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ (M - Commerce) เป็นการเปิดรับข้อมูลที่เกี่ยวกับการ การให้บริการ ที่จะชักนำให้เข้าถึงอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการใช้งานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต เป็นเทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ การให้บริการรูปแบบใหม่ และ เป็นรูปแบบใหม่ทางธุรกิจ ซึ่งต่างจากการทำ e-commerce สมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ PDA มีข้อจำกัดในการใช้งานแตกต่างไปจากการใช้คอมพิวเตอร์บุคคล (Personal computer) อุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถพลิกโฉมหน้าไปเป็นอุปกรณ์ที่มีความทันสมัยในอนาคต มันจะตามเราไปในทุกที่ที่เราพามันไป มันสะดวกในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในขณะที่เราเดินบนถนนกับเพื่อน ๆ หรือ ขณะขับรถเพื่อหาร้านอาหารที่ใกล้ที่สุด หรือ ปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด เหมือนการค้นหาทางอินเทอร์เน็ตด้วยการใช้อุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเรา เราใช้อุปกรณ์เหล่านี้เพื่อให้มันกลายเป็นสิ่งที่ต้องติดตามตัวเราไป ในวันนี้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และ PDA สามารถจดจำเบอร์โทรศัพท์ได้มากมาย ในอนาคตอันใกล้นี้อุปกรณ์เหล่านี้จะกลายเป็นผู้ช่วยที่เฉลียวฉลาดที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ เช่น การจัดเรียงลำดับการให้บริการรถแท็กซี่ให้มารับหลังจากเสร็จการประชุม หรือ ช่วยในการรวบรวมข่าวที่เกี่ยวข้อง และ ข้อความที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น กุญแจที่สำคัญอยู่ที่ความสามารถในการใช้ระบบรักษาความปลอดภัย (Security) และ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญควบคู่กันไปกับการใช้งานความสะดวกเหล่านี้

ความรวดเร็วบางอย่างของการพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ทำให้เราตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทั้ง4 ประการ คือ
1. การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่
2. การบรรจบกันของเครือข่ายการติดต่อสื่อสารด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ อินเทอร์เน็ต
3. ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเทคโนโลยีรุ่นที่สาม และ ข้อมูลที่มีความเร็วสูง
4. จุดกำเนิดของระบบที่กว้างใหญ่ที่เฉพาะเจาะจง , ที่ตั้งที่เหมาะสม และ ข้อมูลสำหรับการใช้อุปกรณ์ รวมถึงการบริการต่าง ๆ

ซึ่งในปี 2002 คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการประมาณ 30 ล้านคน และ อีก 126 ล้านคนทั่วโลก การให้บริการจะคิดค่าธรรมเนียม 3 $ ต่อเดือน สำหรับการใช้บริการด้วย Broad range internet รวมไปถึงการให้บริการ e - mail , บริการจองตั๋วชมภาพยนตร์ , การทำธุรกรรมกับธนาคาร , การช้อปปิ้ง , การบริการข้อมูลด้านความบันเทิง เช่น รายงานสภาพอากาศ , ผลการแข่งกีฬา , เกมส์ ฯลฯ และ การให้บริการที่เป็นหมวดหมู่ ซึ่งเกือบทั้งหมดจะถูกจัดหาไว้ให้โดยผู้ให้บริการจากภายนอก

จุดเริ่มต้นเกี่ยวกับ Mobile Commerce ในประเทศญี่ปุ่น

ในต้นปี 1999 บริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่น ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ คือ i-Mode mobile internet portal ซึ่งเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ให้บริการเชื่อมต่อกับระบบ อินเทอร์เน็ตได้สะดวก รวดเร็ว ทันใจ ทันสมัย ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ปัจจุบัน โดย บริษัท NTT DoCoMo เว็บท่าของ i-Mode
ภาพจากเวปไซด์: http://www.brandchannel.com
( i-mode เป็นการให้บริการทางอินเทอร์เน็ตออกวางตลาดในปี 1999)
ภาพจากเวปไซด์: http://www.brandchannel.com

ความสำเร็จอย่างรวดเร็วของ i-mode มาจากปัจจัยที่หลากหลาย บางคนบอกว่าเป็นการบริการที่ง่ายต่อการใช้งาน ซึ่งเป็นผลสะท้อนมาจากผู้ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์บุคคลน้อยลง และ ถูกใช้อย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น จนคนญี่ปุ่นพุดกันว่า i-mode เป็นวิถีทางที่คุ้มค่าในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และ อีเมล์ อย่างไรก็ตามขณะที่อีเมล์ของ i-mode ได้รับความนิยมในขณะนี้ แต่ก็มีความสำเร็จส่วนอื่น ๆ ของบริษัทอีกมากมาย บริษัท DoCoMo ได้พัฒนา PDC-P ด้วยเทคโนโลยี packet-switched ที่สามารถให้ผู้ใช้เปิดใช้งานได้ตลอดเวลาในทุกฟังก์ชั่น ทำให้ง่ายสำหรับผู้ใช้ในการเชื่อมต่อ และ ชำระเงินตามที่ได้ใช้งานจริง สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง
โปรแกรมต่าง ๆ ของ i-mode จะใช้ภาษา HTML ที่เป็น Compact HTML (cHTML) และ บริษัทกำลังพัฒนาไปจนถึงระดับ XHTML ซึ่งทำให้ผู้บริโภคใกล้ชิดกับภาษาที่ใช้สื่อสารด้วยกันทางอินเทอร์เน็ตมากกว่ารูปแบบของ WAP ซึ่งใช้ภาษา WML ในการสื่อสาร cHTML ง่ายต่อการใช้งานสำหรับ i-mode ในการให้บริการ บริษัทได้เพิ่มขยายคุณสมบัติของภาษาที่ใช้ให้ครอบคลุมเพื่อความสะดวกสบายมากขึ้น เช่น การติดต่อแบบอัตโนมัติที่ยอมให้ผู้ใช้ที่โทรศัพท์ออกครั้งแรกก็สามารถคลิกปุ่มการเชื่อมโยงได้เลย ตัวอย่างเช่น เมื่อเข้าไปในเว็บไซต์ร้านอาหาร ผู้ใช้สามารถคลิกเพื่อเรียกดูชื่อร้านอาหาร และ ตารางการจองโต๊ะ โดยที่ไม่ต้องหยุดการติดต่อกับ i-mode
ธุรกิจบริการรูปแบบใหม่นี้เจริญเติบโตและสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังผู้ใช้บริการประมาณ 30 ล้านคน ในกระบวนการขณะเริ่มต้นต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนหลายพันล้านดอลล่าร์ และ สามารถทำรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้นเป็นอีกเท่าตัวจากรูปแบบของการเก็บค่าธรรมเนียม (Fees) และ เกิดการกระตุ้นให้มีการใช้เครือข่ายที่มากขึ้น (Increase traffic)
ทุกวันนี้ i-mode ขยายการบริการไปมากกว่า 1000 สำนักงานสำหรับผู้ให้บริการหลัก และ มากกว่า 10000 รายสำหรับผู้ให้บริการรายย่อย ซึ่งเรียกว่า “เว็บไซต์อาสาสมัคร” เว็บไซต์หลักเป็นการเข้าถึงโดยตรงผ่านเมนู i-mode ในขณะที่เว็บไซต์รายย่อยจะต้องผ่านทาง URL ก่อน อุปกรณ์เสริมสำหรับเว็บไซต์หลักจะถูกตรวจสอบคุณภาพจากบริษัททุกขั้นตอน รวมถึงการใช้ และ ความสามารถในการเข้าถึง เว็บไซต์หลักมีแนวโน้มว่าจะเกิดความคับคั่งมากกว่าเว็บไซต์รายย่อย บริษัทอาศัยฐานข้อมูลประวัติลูกค้าเพื่อให้เหมาะกับความต้องการ และ ความสนใจของผู้ใช้แต่ละคน
กุญแจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของความสำเร็จของบริษัท คือ ความสามารถในการเปลี่ยนความนิยมของการบริการไปสู่ผลกำไรทางธุรกิจ ในทางตรงกันข้ามกับอินเทอร์เน็ตที่ใช้สายโทรศัพท์ที่กำลังเสื่อมความนิยมลงมาก บริษัทเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลกำไรอย่างมาก เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำกำไรให้กับการพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ เริ่มแรกมีการเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนสำหรับการใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 3 $ ต่อเดือน บริษัทเสนอให้เว็บไซต์หลักเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนจากผู้สมัครใช้ผ่านทางรอบระยะเวลาชำระเงินของบริษัท และ สร้างความเชื่อมั่นว่าผู้ใช้มีอำนาจเพียงคนเดียวในการเข้าไปใช้บริการนี้ ซึ่งสิ่งนี้ถูกตรวจสอบโดยบริษัทและส่งกลับข้อมูลไปให้ผู้ใช้ ในทางกลับกันบริษัทจะแบ่งเก็บจากเปอร์เซ็นต์ของค่าธรรมเนียมแบ่งให้บริการลูกข่ายประมาณ 9 % การจัดแบ่งนี้ทำให้ง่ายต่อผู้ให้บริการข้อมูลต่าง ๆ ในการเก็บค่าบริการโดยไม่ต้องกังวลกับระบบการชำระเงินที่สลับซับซ้อน ภายใน 1 ปีที่เริ่มให้บริการระบบ i-mode บริษัทมีรายรับเฉลี่ยเมื่อคิดต่อผู้ใช้หนึ่งคน (ARPU) ประมาณ 120 $ โดยสิ้นปี 2000 จะเพิ่มเป็น 2100 เยนต่อเดือน หรือ ประมาณ 200 $ ต่อปี

การพัฒนาที่เพิ่มขึ้น Mobile Commerce

จนในปัจจุบันบริษัท NTT DoCoMo ปรับแต่ง PDC/PDC-P ให้เป็นเครือข่าย WCDMA ให้มีความทันสมัยเทียบเท่ามาตรฐาน 3G ในยุโรป ในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และ อเมริกา มีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยี CDMA มากกว่าเพราะใช้งานได้ง่าย และ ราคาถูกในการโอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูงในอัตราที่เทียบเท่า 3G
WCDMA วายแบนด์ซีดีเอ็มเอ - Wideband Code-Division Multiple Access เป็นเทคโนโลยีซีดีเอ็มเอที่มีมาตรฐานตามข้อกำหนดของไอทียู และเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อว่า IMT-2000 WCDMA เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารระบบไร้สายในยุคที่ 3 และมีประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแบบไร้สายผ่านโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไร้สายความเร็วสูง โดยมีประสิทธิภาพการทำงานเหนือกว่าเทคโนโลยีทั่วไปที่ใช้ในตลาดในปัจจุบัน
วายแบนด์ซีดีเอ็มเอมีประสิทธิภาพในการสื่อสารรับส่งสัญญาณเสียงภาพข้อมูลและภาพวิดีโอด้วย ความเร็วสูงถึง 2 เมกกะบิตต่อวินาที แต่สำหรับการให้บริการในปัจจุบันความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 384 กิโลบิตต่อวินาที (แนวกว้าง wide area access) โดยสัญญาณขาเข้าจะถูกแปรเป็นสัญญาณดิจิตอลและส่งไปเป็นรหัสผ่านแถบคลื่นสัญญาณกระจายไปสู่คลื่นความถี่ต่างๆ ผู้ให้บริการเทคโนโลยีนี้จะใช้แถบคลื่นสัญญาณที่ 5 MHz ซึ่งต่างจากผู้ให้บริการที่ให้บริการเทคโนโลยีซีดีเอ็มเอในย่านความถี่แคบที่ใช้ช่องสัญญาณที่ 1.25 MHz โดยNTT DoLoMo WCDMA ให้บริการในเชิงพาณิชย์ ในปี 2001 จนในปัจจุบันมีผู้ให้บริการถึง 65 รายทั่วโลก และพัฒนาการก้าวต่อไปของเทคโนโลยี WCDMA จะนำไปสู่ความสามารถในการส่งข้อมูลที่ความเร็วสูงขึ้น ซึ่งเรียกว่า HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 1.8 - 14.4 Mbps

แนวโน้มและวิถีการใช้ Mobile Commerce ในประเทศญี่ปุ่น

โดยในปัจจุบันนี้มีผู้ใช้บริการ ด้าน MOBILE COMMERCE ในญี่ปุ่นสูงขึ้นมาก สามารถ ดูได้ตามภาพดังต่อไปนี้Mobile phones are used in Japan to purchase many different types of products from music, to train tickets, air tickets, event tickets, books, and even cars.
ภาพและข้อมูลจาก website http://eurotechnology.com

ซึ่งสามารถอธิบายตามภาพได้ว่ามียอดการใช้ Mobile Commerce ในญี่ปุ่น เพิ่มมากขึ้นสูงตลอดตั้งแต่ปี 2002-2009 ซึ่งเป็นมูลค่านับ พันล้าน บาททีเดียว
โดยส่วนใหญ่ ชาวญี่ปุ่นมักใช้ เทคโนโลยี Mobile Commerce อาทิเช่น การซื้อสินค้า หลากหลาย ทั้งเพลง ตั๋วรถไฟ ตั๋วเครื่องบิน หรือตั๋วอื่นๆ รวมถึง
และจากข้อมูลทางเวปไซด์
http://www.nextgreatthing.com/ ยังได้กล่าวถึง Mobile Commerce ในญี่ปุ่นไว้ดังต่อไปนี้


Mobile Shopping in Japan
November 12th, 2007 by NGT
Japanese mobile commerce began in 1999, when NTT DoCoMo, a top Japanese mobile carrier, introduced the concept. Since then, the market has grown rapidly year-to-year. The Ministry of Internal Affairs and Communications says that mobile commerce will account for 400 billion YEN ($3.42 billion) in revenue in 2007. A major group fueling the mobile shopping phenomenon is Japanese women, many of whom are increasingly using their handsets to browse and buy products from popular retailers like Chanel and Coach while on the go. Users log-on to DoCoMo’s main portal site, i-mode, where they can utilize categorized menus and search functions to help them find their favorite brands. Customers are then given the opportunity to purchase items on their mobile device.
The i-mode’s TV function, One-Seg, has impressive image quality
One of the biggest features of the i-mode site is its payment system. NTT DoCoMo collects user payments for vendors, reassuring customers that their transactions are safe. The money is automatically paid as an information fee on the invoice, so if users find something wrong with their order, they can get their money back.
Many Japanese women are hooked on mobile shopping because prices are much lower than they’ll typically find at stores or even online. My new Louis Vuitton wallet runs for 65,000YEN ($567) at the store, but I bought it on my mobile for 38,700YEN ($338)! What a good deal! According to MMD Research, 23% of products bought via cell phone shops are for gifts. Don’t have time to do your holiday shopping? You could wait until the ride home -Daisuke Kitamoto, NGT correspondent from FH Tokyo ภาพและข้อมูลจาก website http://www.nextgreatthing.com/

จากภาพและบทความดังกล่าวได้กล่าวถึง วิถีการใช้ Mobile Commerce ของคนญี่ปุ่น ซึ่ง ในกลุ่มผู้หญิงนิยมใช้บริการกันมาก ในด้านการช๊อปปิ้ง ซื้อสินค้าแบรนเนม เช่น Chanel และ Coach โดยผู้ใช้งานจะล๊อกเข้าระบบที่ DoCoMo’s main portal site, i-modeและเลือกไปที่เมนูที่ช่วยค้นหา ยี่ห้อที่ตนต้องการ ซึ่งสิ่งนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าทางโทรศัพท์ให้ง่ายยิ่งขึ้น และผู้หญิงชาวญี่ปุ่น มักนิยมชอปปิ้งทางโทรศัพท์มือถือ เพราะ ราคามักจะถูกว่าไปซื้อตามร้านอีกด้วย เนื่องจากร้านค้าจะให้ส่วนลดพิเศษกับผู้ใช้ช่องทางการจำหน่าย Mobile Commerce นี้ โดยมีบทสัมภาษณ์จากผู้หญิงชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งไว้ “My new Louis Vuitton wallet runs for 65,000YEN ($567) at the store, but I bought it on my mobile for 38,700YEN ($338)! What a good deal!” (กระเป๋าสตางค์หลุยส์วิตตอง ราคาปกติในร้าน 65,000เยน แต่ซื้อทางโทรศัพท์ เหลือเพียว 38,700 เยนเท่านั้น)

แต่อย่างไรก็ตามผู้ชายญี่ปุ่นก็นิยมการซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Coomerce นี้เช่นกัน ดังจะมีภาพประกอบเพื่อให้เห็นการใช้ MOBILE COMMERCE ในญี่ปุ่นกันอย่างกว้างขวางดังต่อไปนี้
The average amount of money spent by survey respondents shopping from their mobile handsets was 14,676yen or around $123 with males spending on average 19,594 yen and women only 10,197 yen.

ข้อมูลจาก www.analytica1st.com

จะเห็นได้ว่าค่าเฉลี่ยในการจ่ายเงินช๊อปปิ้งจากโทรศัทพ์มือถือ(Mobile Commerce)ของชาวญี่ปุ่นนั้นผู้ชายญี่ปุ่น ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 19,594 เยน ต่อเดือน และ ผู้หญิงญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 10,197 เยน ต่อเดือน ซึ่งสถิตินี้แสดงให้เห็นว่าการซื้อสินค้าของผู้ชายญี่ปุ่นสูงกว่าผู้หญิงอีกด้วย
และอีกทั้งยังมีข้อมูลแสดงให้เห็นสินค้าที่นิยมซื้อผ่านช่องทาง Mobile commerce ในประเทศญี่ปุ่นดังต่อไปนี้
Books and magazines (28.4%) were the favorites among the items bought during one month by survey respondents, followed with CD/DVD (17.5%) and sweets and candies (17.5%).Source: Rakuten Research
โดยจะเห็นได้ว่า หนังสือ และ นิตยสาร ได้รับความนิยม ในการสั่งซื้อภายในเดือน สูงที่สุด ตามมาคือ ซีดี/ดีวีดี และ ขนมหวาน
จากข้อมูลข้างต้นได้แสดงถึง ฝ่ายผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นนั้นนิยมและพอใจกับช่องทางการซื้อแบบ Mobile Commerce แต่ต่อไปจะกล่างถึงฝ่ายที่เป็นผู้ใช้บริการจำหน่ายผ่านช่องทาง Mobile Commerce
สิ่งจูงใจของการจำหน่ายช่องทาง Mobile Commerce คือ นักลงทุนสามารถเข้าถึงได้เร็ว ดูรายละเอียดการวิจัยได้ทั่วถึง เช่น ซื้อหุ้นได้โดยใช้เวลาไม่กี่วินาที และเสียค่าใช้จ่ายน้อยมากเมื่อเทียบกับค่านายหน้าแบบเต็มๆ ลูกค้าของธนาคารออนไลน์สามารถดูยอดเงินในบัญชีต่างๆได้ โอนเงินระห่างบัญชีได้ ชำระค่าบริการต่างๆได้ผ่านธนาคารออนไลน์ โดยใช้มือถือหรืออุปกรณ์ไร้สายอื่นๆ ธนาคารมีความกระตือรือร้นที่จะได้ลูกค้าที่จ่ายบิลออนไลน์เพราะแสดงว่าลูกค้าจะอยู่กับธนาคารนานขึ้น มีเงินสดในบัญชีมากขึ้นและใช้สินค้าของธนาคารมากขึ้น เพื่อเพิ่มการใช้บริการนี้ ธนาคารก็จะไม่คิดค่าธรรมเนียมในการจ่ายเงินออนไลน์ และยังมีข้อดีอีกคือช่องทางการจัดจำหน่ายแบบ Mobile Commerce นี้ ใช้วิธีแบบ Anywhere, Anytime Application
โดยปกติอุปกรณ์ Mobile commerce มักถูกใช้โดยผู้ใช้คนเดียว จึงมีแนวคิดที่ว่าบริษัทสามารถที่จะส่งข้อมูลไปหาผู้บริโภคแต่ละคน และการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก ทุกที่ทุกเวลา เช่น
- ลูกค้าธนาคารใช้อุปกรณ์ไร้สายเพื่อเข้าถึงข้อมูลในบัญชีและชำระค่าใช้จ่ายได้
- ผู้ถือหุ้นสามารถดูราคาหุ้นและซื้อขายได้
- บริการข้อมูลสารสนเทศ เช่น ข่าวการเงิน ข่าวกีฬา สภาพการจราจร ส่งถึงประชาชนได้เมื่อต้องการ
- ลูกค้าสั่งสินค้าและจ่ายเงินได้ - ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ดูค่าโทร จ่ายค่าโทร และจัดการบริการต่างๆได้
- ผู้ขายส่งข้อความโฆษณา โปรโมชั่น คูปองส่วนลดให้ลูกค้าที่เดินผ่านร้านได้
- เข้าถึงได้ง่าย บริษัทสามารถหาซื้อได้ในราคาไม่แพง สร้างโอกาสในการขายได้ทั่วโลก
- ลดต้นทุน ลดเวลา ลดแรงงาน ในการทำ process และมีความถูกต้อง
- การไหลอย่างรวดเร็วของสินค้าและข้อมูล เพราะใช้การเชื่อมต่อของอุปกรณ์และการสื่อสาร
- เพิ่มความถูกต้อง ผู้ซื้อสั่งสินค้าด้วยตนเอง จึงไม่มีการผิดพลาดของพนักงานป้อนข้อมูล
- เพิ่มบริการลูกค้า เพิ่มรายละเอียดข้อมูลสินค้า วันส่งสินค้า และสถานะต่างๆ
สิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จที่สุดของ Mobile commerce คือสิ่งที่เหมาะกับความเคยชินของผู้คน ดังนั้นธุรกิจที่จะใช้ Mobile commerce ต้องดูด้วยว่าเหมาะและจัดเตรียมบริการได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่







ภาพตัวอย่างการซื้อหนังสือจาก Amazon ผ่านช่องทาง Mobile commerce
กรณีศึกษาตัวอย่างของธุรกิจที่นำ Mobile Commerce มาใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบันของประเทศญี่ปุ่น
จากข้อมูลเวปไซด์ http://www.takeme2japan.com/ ได้กล่าวไว้ว่า มีผู้จำหน่ายอีกธุรกิจหนึ่งซึ่งน่าสนใจและน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง คือธุรกิจ แฟชั่น ซึ่งขณะนี้ เป็นที่ครองใจวัยรุ่นญี่ปุ่นได้อีกกลุ่มหนึ่งด้วย ชื่อ Tokyo Girls Spring Collection 2009 เนื่องจากธุรกิจแฟชั่นนี้ ได้รวมธุรกิจเสื้อผ้าไว้หลายยี่ห้อ และเปิดช่องทางการจำหน่ายทางโทรศัทพ์มือถือ หรือ Mobile Commerce และยังมี การโชว์แฟชั่นโดยนางแบบชั้นนำ โดยแฟชั่นโชว์นี้ให้ลูกค้าเปิดดูทางโทรศัทพ์มือถือได้อีกด้วย ลูกค้าสามารถดู และ กดเลือกซื้อชุดที่นางแบบใส่เดินโชว์ได้ง่าย ๆ



But we also have to see how this information can be applied into a real environment. I going use the Tokyo Girls Spring Collection 2009, thank you very much for CScout for the excellent report of the event in English.
ภาพและข้อมูลจาก http://www.takeme2japan.com/
Tokyo Girls is an annual event is a semiannual fashion show. The fashion event showcases the seasons fashionable streetwear, and are modeled by popular various Japanese models. Unlike the regular fashion shows, the event is open to the general consuming public as well as to buyers and journalists, and incorporates charity auctions and live performances by well-known artists. The event is planned and sponsored by Branding Inc, a company which runs girlswalker.com and fashionwalker.com, and the outfits adorned by the models are made available for purchase on the spot through the official website of TOKYO GIRLS COLLECTION.

ภาพและข้อมูลจาก http://www.tokyo/collection2009.com
เมื่อเข้าสู่เวปนี้ จะ มียี่ห้อที่ผู้ซื้อต้องการให้เลือกดู
หน้าจอการเข้าดูตารางแฟชั่นโชว์ประจำวัน


ภาพและข้อมูลจาก http://www.tokyo/collection2009.com
The detail that makes this fashion show unique is the fact that people can buy the clothes that are shown in the runaway in the event through online mobile shopping service. What does this means? well they found a sustainable way to combine E-commerce strategies with normal fashion shows. Imagine if people started doing this in NY Fashion Week.
บทความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ช่องทางการจัดจำหน่าย นี้น่าสนใจและน่าติดตามเป็นอย่างมาก และ หากได้ขยับขยายไปถึงแฟชั่นระดับโลกแล้ว วงการแฟชั่นจะเติบโตขึ้นอีกมหาศาล
By Ken Y-N ( April 4, 2007 at 22:40)
ภาพและข้อมูลจาก http://www.tokyo/collection2009.com
ประกอบกับข้อมูลทางเวปไซด์ www.whatjapanthinks.com ได้ให้ข้อมูลไว้ดังนี้“Clothes shopping by mobile internet surprisingly popular

ข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการใช้ Mobile Commerce ในประเทศญี่ปุ่น
จากการสำรวจของเวปไซด์ www.whatjapanthinks.com ซึ่งเป็นเวปไซด์เกี่ยวกับการสำรวจข้อมูล พฤติกรรมการซื้อเสื้อผ้าผ่านช่องทาง Mobile Commerce ของผู้หญิงชาวญี่ปุ่น แบ่งตามช่วงอายุดังนี้คือ
- อายุไม่เกิน 19 ปี มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 3.10%
- อายุช่วง 20-29ปี มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 33.0%
- อายุช่วง 30-39 ปี มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 43.1%
- อายุช่วง 40-49 ปร มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 17.7%
- อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีความนิยมซื้อสินค้าทางช่องทาง Mobile Commerce 3.20%

Over one week at the start of March, infoPLANT conducted a survey by means of a public questionnaire available throughNTT DoCoMo’s iMode menuing system on the subject of online shopping habits. Note that since this is a self-selecting survey, attracting perhaps heavy mobile phone users, there might be some bias towards higher levels of shopping than in the average phone-owning population.
ภาพและข้อมูลจาก www.whatjapanthinks.com




จากภาพกราฟวงกลมข้างต้น แสดงให้เห็นการซื้อผ่านช่องทาง Mobile Commerce ของชาวญี่ปุ่น เป็นดังนี้คือ
15% เข้าใช้บริการทุกวัน
6% เข้าใช้บริการ 5-6 วันใน 1 สัปดาห์
15% เข้าใช้บริการ 2-3 วันใน 1 สัปดาห์
13% เข้าใช้บริการ 1 วันใน 1 สัปดาห์
21% เข้าใช้บริการ 1-3 วันใน 1 เดือน
13% น้อยกว่า 1 ครั้ง ใน 1 เดือน
17% ไม่เคยใช้ช๊อปปิ้งผ่านทางMobile Commerce
ข้อมูลจากการสำรวจโดยตั้งคำถามว่า คุณช๊อปปิ้งออนไลน์บนโทรศัพท์มือถือบ่อยเพียงใด จะได้ข้อมูลการข้อเสียของ Mobile Commerce
อย่างไรก็ตามช่องทางการซื้อสินค้าแบบ Mobile Commerce ก็มีข้อเสียแบ่งออกเป็น 2 ด้าน ดังต่อไปนี้
1. ด้านเทคนิค
- การประยุกต์ใช้ Mobile Commerce ร่วมกับแอปพลิเคชันและฐานข้อมูล มีความซับซ้อน จำเป็นต้องใช้ทักษะหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการสร้างและพัฒนา
- ต้นทุนในการสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ Mobile Commerce ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นซอฟแวร์ร์ ฮาร์ดแวร์ การเชื่อมโยง เครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่บุคลากรที่เข้ามารับผิดชอบ
2. ด้านอื่นๆ
- ผู้ขายและผู้ซื้อยังมีความกังวลด้านความปลอดภัยของ Mobile Commerce ลูกค้ายังไม่สามารถเชื่อมั่นเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า เนื่องจากไม่สามารถมองเห็นและจับต้องสินค้าได้
- Mobile Commerce อาจทำให้ลูกค้ากังวลใจเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวอาจจะถูกเปิดเผยได้
- Mobile Commerce อาจทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันลดน้อยลง

ในอนาคตคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า ญี่ปุ่นที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศแห่งผู้นำทางเทคโนโลยีจะสร้างนวัตกรรม ความทันสมัย หรือ เป็น โลกออนไลน์ให้กว้างไกลกว่าเดิมไปในทิศทางใด

เอกสารอ้างอิง
ภาพและข้อมูลจาก
website http://eurotechnology.com/
website http://www.nextgreatthing.com/
Rakuten Research จาก http://www.analytica1st.com/
http://www.takeme2japan.com/
http://www.tokyocollection2009.com/
www.whatjapanthinks.com